ชีวิตที่เกิดขึ้นในโลกนี้ย่อมมีโรคร้ายรุมเร้า แทะเล็มทั้งร่างกายและจิตใจ แม้ว่าสิ้นชีวิตลงแล้วก็ยังไม่วายต้องมีพิธีรีตรองห้ามโน่นห้ามนี่ แต่ก็นั่นแหละครับเงื่อนไขต่างๆที่ผู้คนสร้างขึ้นก็เพื่อป้องกันมิให้คนหรือญาติๆที่ยังชีวิตอยู่สูญเสีย หรือตายตามกันไป
ว่าด้วยการตายด้วยอาการหลุ้ต๊องหรือท้องร่วง ในสมัยโบราณเรียกกันว่า โรคห่าลงกิ๋นคนปัจจุบันก็อาจเป็นอหิวาตกโรค หรือโรคลงรากอะไรทำนองนี้แหละครับผู้คนล้านนาท่านได้วางเงื่อนไขไว้หลายประการเพื่อป้องกันมิให้ผู้ที่ยังชีวิตอยู่ต้องติดเชื้อ โดยพ่อหมอแม่หมอพื้นบ้านท่านจะสังเกตว่าผู้ป่วยมีอาการลงท้องอย่างรุนแรง จนอุจจาระมีสีขาว พร้อมๆกับมีอาการ "หลุ้ๆฮากๆ" และที่สุดก็เสียชีวิตลง
เมื่อคนท้องร่วงเสียชีวิตลงต้องรีบเอาศพไปเสียโดยเร็ว ห้ามเก็บศพไว้ข้ามคืนอย่างเด็ดขาด ห้ามทำอาหารเลี้ยงชาวบ้าน ห้ามทำอาหารถวายพระสงฆ์ ห้ามทำสังฆทาน แต่จะถวายข้าวสารดิบๆที่ไม่ได้หนึ้งก็ได้อยู่เพราะพระสงฆ์ต้องเอาไปทำให้สุกอีกครั้งหนึ่ง
นอกจากนี้บ้านใกล้เรือนเคียงให้นำเอาผงขี้เถ้ามาโรยรอบบ้านป้องกันโรคห่าเข้าบ้านขณะที่โรยขี้เถ้าให้กล่าวว่า "ขอหื้พยาธิเปียธิฮ้ายอย่าล่วงล้ำเข้ามาในเรือนกู จุ่งหลีกลี้ฟีกหนีไปไกล๋ๆ "ว่าแล้วก็รีบเข้าบ้านของตน
นอกจากนี้หากมีคนตายด้วยโรคนี้ในหมู่บ้านติดๆกันตั้งแต่สามศพขึ้นไปห้ามเอาศพไปเผา ต้องเอาศพไปฝังอย่างเดียวเท่านั้น
เงื่อนไขที่ผู้คนตั้งขึ้นย่อมป้องกันภยันตรายแก้ผู้คนในสังคม
สวัสดีครับป้ออาจารย์
สวัสดีครับครูข้างถนน..
*ยินดีที่มาแอ่วครับ
*ขอบคุณนักๆครับที่เป๋นห่วง
-ด้วยความปรารถนาดีจากลุงหนาน.....พรหมมา
ทำไมเปิ้นบ่เอาไปเผาล่ะเจ้า เอาไปฝัง..บ่เป๋นการแพร่เจื้อก๊า?
สวัสดีเจ้าหลานเนปาลี...
*เป็นคำถามที่ดีมาก
*การเผาต้องเผาในเฉพาะพื้นที่เดียวกันหรือในเตาเผาเดียวกันอาจมีความเชื่อว่าจะมีเชื้อโรคพอกพูนซ้ำซากผู้คนเข้าไปเหยีบบย่ำเชื้อโรคทำให้แพร่เชื้อยิ่งขึ้น
*โดยเฉพาะมีศพสามศพหากเผาต้องแย่งที่แย่งเตากันอีกเพื่อป้องกันการแย่งเตาเผา ทะเลาะวิวาทโต้เถียงทำให้ผู้คนแตกแยกกันมากขึ้นก็ต้องกำหนดไว้ว่าให้ฝังในที่ที่ว่าง กลบให้ดี ใส่ขึ้เถ้าลงฆ่าเชื้อโรคก็เป็นอันว่าเสร็จพิธีการตามสภาพของสังคมโบราณ
*ด้วยความปรารถนาดีจากลุงหนาน....พรหมมา