เรื่องเล่าของผู้ใหญ่ชุณห์ จาก อ.ครบุรี


การเข้าค่าย 2 คืน 3 วัน ได้อะไรกลับมาใช้กับตัวเองดีมาก ๆ รู้จักตัวเองมากขึ้น ทำให้มีการดูแลตัวเองมากขึ้น

ผมเป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นโรคร้าย เช่นเบาหวาน เพราะสุขภาพร่างกายแข็งแรงดี มีน้ำหนักตัว 64 กก. สูง 150 ซม รอบเอว 82 ซม ไปไหนมาไหนสะดวกสบาย ไม่มีอาการให้ตัวเองรู้เลยว่าจะมีโรคภัยอยู่ในตัว

ในที่สุดอยู่มาวันหนึ่งคุณหมอโรงพยาบาลชุมชน ครบุรี ได้มีโครงการออกตรวจสุขภาพประชาชนในหมู่บ้านร่วมกับคณะแพทย์จากโรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา มีหมอออกมาร่วมโครงการหลายคน ผมจึงได้แจ้งให้คนทั้ง 4 ชุมชนในละแวกใกล้เคียงกันมารับบริการ เพราะเป็นโอกาสดี ๆ ที่คุณหมอจะออกพื้นที่บริการประชาชนสักครั้ง ค่อนข้างจะยากมาก ๆ เพราะ 4 ชุมชนของพวกผมค่อนข้างจะกันดารที่สุด และไกลที่สุดของอำเภอครบุรี

วันนั้นผมได้มีโอกาสตรวจเช็คร่างกายกับเขาด้วย เพราะตัวเองไม่เคยไปหาหมอเลยเป็นเวลาหลายปี เนื่องจากไม่เจ็บไม่ป่วยอะไรมาก่อนเลย ผลการตรวจของหมอ หมอบอกว่าผมสงสัยจะเป็นเบาหวาน แล้วก็นัดให้ไปตรวจอีกทีที่โรงพยาบาลครบุรี 

หลังจากหมอนัดแล้วผมตกใจและวิตกกังวลที่คุณหมอนัดให้ไปตรวจซ้ำ ผมนอนไม่หลับหลายคืน คิดมาก จนใกล้วันจะถึงวันที่หมอนัดยิ่งกังวลมากขึ้น เกรงว่าไปพบหมอแล้วกลัวจะเป็นเบาหวานจริงๆ เพราะเบาหวานใครเป็นแล้วยังไม่มียาใดรักษาให้หายขาดได้ ต้องตายจากกันเท่านั้น

หลังจากการตรวจละเอียดจากคุณหมอฝน ปรากฎว่าผมเป็นเบาหวานแต่อยู่ในระยะเริ่มต้น น้ำตาลในเลือดยังไม่สูงมาก ถ้าดูแลตัวเองดีก็มีโอกาสหายได้เหมือนกัน จากนั้นคุณหมอได้แนะนำการดูแลตัวเอง เช่น การออกกำลังกาย การกินอาหาร และยาที่หมอจัดให้ ต้องกินตามที่หมอแนะนำ อย่าไปวิตกกังวลอะไรมาก แต่ถ้าดื้อไม่ทำตามที่คุณหมอบอก หมอก็ช่วยอะไรไม่ได้ อาจจะมีเพื่อนของเบาหวานตามมาอีกหลายอย่างและต้องมาพบแพทย์ตามนัดทุก 2 เดือน

จากวันที่หมอแนะนำครั้งแรกถึงประมาณ 1 ปีเศษ ได้ปฏิบัติตามหมอแนะนำมาตลอด แต่มามีจุดเปลี่ยนใจ เนื่องมาจากรุ่นพี่ๆ ที่เจอกันในวันนัด ก่อนเข้าห้องตรวจส่วนใหญ่จะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เชื่อหมอมากไม่ไหว จะให้อดนั่นอดนี่ หิวไม่ได้กินจะมีแรงต่อสู้กับโรคได้อย่างไร จะมีแรงทำงานไหวหรือ พวกเราชาวบ้านต้องทำมาหากิน บางคนก็บอกว่าฉันกินทุกอย่างที่หิว ใกล้ถึงวันจะมาหาหมอ ก็ทำตามที่หมอบอก น้ำตาลก็ไม่ขึ้นหมอก็ไม่บ่น จะพูดกันในระหว่างรอเข้าห้องตรวจอย่างนี้ประจำ เราก็ชักจะลังเลเพราะได้ยินแต่เพื่อนพูดกันประจำเลย แสดงว่าที่หมอแนะนำนั้นไม่ค่อยจะเชื่อกันเลยถึงพูดกันแบบนี้

เราก็เลยจะไปกับเพื่อนๆ บ้าง เขาก็ไม่เห็นเป็นอะไรน้ำตาลบางครั้งก็สูง บางครั้งก็ต่ำ ใกล้ถึงวันหมอนัดเราก็ทำตัวดีเหมือนเพื่อน ดูซิว่าจะเป็นอย่างไร ในที่สุดผมก็กลายเป็นคนที่ดื้อหมออีกคน กินทุกอย่างที่หิวอยาก สิ่งที่เคยปฏิบัติมาก็อ้างกับตัวเองว่าไม่มีเวลา เริ่มกินจุกกินจิก เมื่อก่อนทำตัวดี น้ำหนักตัวก็ลด กินก็ไม่มาก

หลังจากที่ผมกลายเป็นคนดื้อหมอ สิ่งที่ตามมาก็คือ น้ำหนักตัวเริ่มเพิ่มขึ้น หมอนัดตรวจสายตา ตาก็เริ่มพร่ามัว จนกำลังจะกลายเป็นต้อกระจก ตรวจไต อาการก็เริ่มปวดหลังมากขึ้น ชาตามมือตามเท้า เดินไปไหนมาไหนไม่สะดวก เดินไปแล้วเดินกลับไม่ได้ ขาชาไม่รู้สึกว่าแข้งขาตัวเอง ต้องหยุดพัก ถ้าฝืนเดินก็จะล้ม จนหมอต้องนัดทำกายภาพบำบัด ต้องใช้เครื่องดึงกระดูก ต้องอบสมุนไพร แทบจะเอาตัวเองคืนไม่ได้

โชคดีที่คุณหมอมีโครงการเข้าค่ายเบาหวาน นัดผู้ป่วยที่มีน้ำตาลในเลือดสูง  คนที่มีอาการถึงขั้นฉีดยา คนที่เป็นผู้นำกลุ่ม การเข้าค่าย 2 คืน 3 วัน ได้อะไรกลับมาใช้กับตัวเองดีมาก ๆ รู้จักตัวเองมากขึ้น ทำให้มีการดูแลตัวเองมากขึ้น รู้จักที่มาที่ไปของเบาหวาน อาหารชนิดไหนควรกินปริมาณเท่าใด รู้ช่องทางการแก้ไขปัญหาตัวเอง เมื่อเบาหวานน้ำตาลขึ้นมากหรือลดมากจะต้องเตรียมตัวรับกับเหตุการณ์อย่างไร เชื่อฟังและนำไปปรับปรุงตัวเองตามหมอสอนได้มากขึ้น ผิดกับก่อนมีการเข้าค่าย จะไม่เชื่อฟังเอาแต่ใจตัวเอง และยังได้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทั้งเรื่องเบาหวานและเรื่องอื่น ๆ ยิ่งแต่จะเอื้ออาทรต่อกันมากขึ้นกลายเป็นสายใยเชื่อมโยงกับเพื่อน ๆ

ผมได้ฝึกปฏิบัติการฉีดยา การให้ยา และลดอาหาร ออกกำลังกาย เจาะเลือด ก่อน / หลังอาหาร ทดสอบว่ากินอาหารตามปกติ และลดอาหารประเภทแป้ง น้ำตาลและไขมัน ผลการตรวจเลือดลดลงอย่างไม่น่าเชื่อ โดยเฉพาะอาหารเย็น ผมต้องกลายเป็นคนถูกหมอท้าว่า ใครจะอดข้าวเย็นได้บ้าง หมายถึงอดเฉพาะข้าว แต่กินกับข้าวได้เต็มที่จนอิ่ม ผมทดลองกับตัวเองจากก่อนกินข้าวเย็น 140 mg% พอไม่กินข้าว, น้ำตาล ลดเป็น 90 mg% เพราะเราอดข้าวแต่กินอาหารอื่นทดแทน

นอกจากการกินยาและกินอาหาร การฝึกสมาธิทำจิตใจให้สบาย ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ได้จากการเข้าค่ายเบาหวาน เมื่อกลับจากการเข้าค่ายก็รู้สึกมั่นใจตัวเองมากขึ้นว่า ต่อไปนี้เราไม่กลัวเบาหวานอีกแล้ว เราจะอยู่กับเบาหวานอย่างมีความสุข ไม่วิตกกังวลใด ๆ เพราะเรารู้จักการดูแลตัวเอง และที่น่าประทับใจไม่รู้ลืมอีกเรื่องหนึ่งก็คือ คุณหมอได้คัดเลือกตัวแทนเบาหวานทั้งหมด 10 คน ไปเข้าร่วมกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่ศูนย์ประชุมสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ (มหกรรม KM เบาหวานครั้งที่ ๑ เมื่อวันที่ ๒๕-๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๐)

ในการเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนั้นนับว่ายิ่งใหญ่มากสำหรับผม เพราะมีเพื่อนเบาหวาน จาก 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพิษณุโลก นครพนมและนครราชสีมา  นอกจากนั้นก็มีหมอ พยาบาล เข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ 400 – 500 คน  ได้รับความรู้จากการเข้าฐานการเรียนรู้มาก ๆ ทำให้ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กันมากยิ่งขึ้น จากผมที่มีพื้นฐานอยู่แล้ว และที่ประทับใจมากๆ ก็คือ ผมได้มีโอกาสขึ้นเวทีสัมมนา เป็นตัวแทนจากจังหวัดนครราชสีมา รู้สึกดีใจ และตื่นเต้นมาก

การสนทนาบนเวทีสนุกมาก ผมเอาปัญหาตนเองที่ประสบมาเล่าสู่เพื่อนเบาหวานฟัง ส่วนจังหวัดนครพนม เพื่อนเบาหวานมาเล่าว่าทำไมเป็นเบาหวานต้องถูกตัดขา และเพื่อนจังหวัดพิษณุโลกเล่าเรื่องคลินิกเบาหวานและการรวมกลุ่ม วันนั้นเป็นการรวมพบครั้งใหญ่

ผมได้เรียนรู้เรื่องการดูแลเท้า เห็นความสำคัญของเท้าอย่างมาก ทุกเย็นก่อนเข้านอนจะต้องล้างเท้า เช็ดถูและถึงขั้นทาครีมเท้าทุกวัน บางครั้งบางคนอาจจะปล่อยปละละเลยถือเป็นเรื่องธรรมดา แต่ผู้ป่วยเบาหวานจะทำอย่างนั้นไม่ได้ ถือว่าเสี่ยงอันตรายอย่างมาก มิฉะนั้นจะมีคนถูกตัดขากันอีกหรือ ยกตัวอย่างแม่บ้านผม มีตาปลาขึ้นที่บริเวณตาตุ่มนิดเดียว (แม่บ้านก็เป็นเบาหวาน) ไปให้หมอตรวจปรากฎว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก หมอให้นอนโรงพยาบาล 19 คืน จนแผลหายสนิท จึงให้ออกจากโรงพยาบาล การดูแลเท้า ดูแลเล็บเท้า บางคนเท้าชาจนเหยียบหนามเหยียบอะไรไม่รู้สึกตัว แล้วเกิดหักฝังในเท้าจนเท้าเน่า ติดเชื้อต้องตัด นี่แหละที่มาของการตัดขา ตัดนิ้ว

หลังกลับจากการร่วมกิจกรรมครั้งนี้ เพิ่มความมั่นใจมากขึ้นจนได้มีโอกาสเป็นวิทยากรบรรยาย เมื่อมีการอบรมเบาหวานและช่วยหมอทางอ้อมให้ความรู้กับกลุ่มเสี่ยงเบาหวาน และผู้ป่วยที่ฉีดยา เน้นหนักเกี่ยวกับโรคเพื่อนเบาหวานที่จะตามกันมาอย่างมากมาย เช่น ตาพร่ามัวจนเกิดต้อกระจก ไต ปวดหลัง เหน็บชา การตัดเท้า อัมพฤกษ์ อัมพาต เส้นเลือดตีบตัน อย่าปล่อยให้เป็นเรื่องของโชคชะตาหรือเวรกรรม ทุกอย่างที่เกิดขึ้น มีเหตุซึ่งเราแก้ไขได้ ขอให้เรามีสติยั้งคิดทบทวน ไม่เอาแต่ใจตัวเองเกินไป แล้วจะไม่พิการใจ พิการกาย ในที่สุดเราก็อยู่กับโรคภัยได้อย่างสบาย

ผู้เล่าเรื่อง : ผู้ใหญ่ชุณห์ สอนครบุรี 9 ม. 11 ต.จระเข้หิน อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา 30250
                 โทร. 081-7257229

หมายเลขบันทึก: 187437เขียนเมื่อ 11 มิถุนายน 2008 06:15 น. ()แก้ไขเมื่อ 18 มิถุนายน 2012 23:02 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

เป็นเรื่องเล่าที่ยอดเยี่ยมมากครับ

วิจารณ์

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท