ห้องสมุดประชาชนอำเภอพานทอง
ห้องสมุดประชาชนอำเภอพานทอง อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี

จุลสารประจำเดือนมิถุนายน ปักษ์หลัง


ฉบับที่ 40

จุลสารประชาสัมพันธ์

ห้องสมุดประชาชนอำเภอพานทอง

ฉบับที่   40      ปักษ์หลัง   มิถุนายน    2551

 อาหารต้านเครียด

เนื่องจากเหตุการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นกับสังคมบ้านเราไม่เว้นแต่ละวัน ทำให้หลาย ๆ คนเริ่มที่จะตกอยู่ในภาวะเครียด จนถึงขั้นนอนไม่หลับ หรือหลับก็ไม่สนิท ซึ่งวันนี้เราก็มีคำแนะนำในเรื่องของ "อาหารต้านเครียด" มาฝากกันค่ะ

นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล แพทย์ธรรมชาติบำบัด กล่าวว่า วิถีชีวิตของคนไทยในปัจจุบันมีความเครียดสูง แสดงออกทางด้านร่างกายคือ เครียด นอนไม่หลับ ปวดศีรษะ อ่อนเพลียเรื้อรัง กระทบต่อสุขภาพโดยรวม ดังนั้น ผู้ที่เครียดจนนอนไม่หลับ ควรรับประทานอาหารมื้อค่ำแบบเบา ๆ ไม่อิ่มมากเกินไป ลดการรับประทานเนื้อสัตว์ การรับประทานดอกไม้จีนต้มน้ำตาลทรายกรวดแต่ไม่หวานจัด หรือกล้วยกับนมถั่วเหลืองอุ่น ๆ มีสารทริฟโตแฟนทำให้นอนหลับสบาย

สำหรับอาหารที่ต้านความเครียด คือ อาหารที่มีวิตามินบี และวิตามินซีสูง ได้แก่ ข้าวกล้อง ผักผลไม้ ขอให้กินอาหารพวกนี้เพิ่ม ถือเป็นการดูแลตนเองแบบการแพทย์พอเพียง ใช้ยาน้อยลง ประหยัดเงิน ที่สำคัญเป็นผลดีต่อสุขภาพ ส่วนอาหารที่กินแล้วทำให้เครียด คือ อาหารประเภทเนื้อสัตว์ เพราะใช้พลังงานสูงในการเผาผลาญ

                ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่วิธีแก้อาการเครียดโดยตรง แต่ก็สามารถที่จะช่วยลดภาวะเครียดลงได้บ้างนะคะ...

 ที่มา : http://health.deedeejang.com/news/394.html

ผู้หญิงชอบบริโภคเนื้อแดงมากๆ เสี่ยงกับการเป็น มะเร็งทรวงอก

                วารสาร อายุรแพทย์ ของสหรัฐฯ รายงานว่า ได้มีการศึกษาพบว่า การบริโภคเนื้อวัว หรือเนื้อลูกแกะที่มีสีค่อนข้างคล้ำมากๆ จะทำให้ล่อแหลมกับการเป็น โรคมะเร็งทรวงอก สูงกว่าปกติถึง 2 เท่า อาจจะเพราะมีฮอร์โมนที่ใช้ในการเลี้ยงวัวทำกันอยู่ในบางชาติ ตกค้างอยู่

คณะนักวิจัยของโรงพยาบาลบริกแฮมและโรงพยาบาลหญิง ร่วมกับโรงเรียนแพทย์ฮาร์วาร์ด ได้ศึกษาประวัติสุขภาพของพยาบาลหญิงที่ยังไม่มีประจำเดือน รวมไม่ต่ำกว่า 90,000 ราย และต่อมาหญิงเหล่านี้ได้เกิดเป็นมะเร็งทรวงอกขึ้น ภายหลังด้วยกัน 1,021 ราย

คณะนักวิจัยศึกษาพบว่า รายที่กินเนื้อวัวหรือเนื้อแกะที่มีสีค่อนข้างคล้ำค่อนข้างมากถึงวันละ 1.5 มื้อ เสี่ยงสูงที่จะเป็น มะเร็งทรวงอก มากกว่าคนที่บริโภคเพียงแค่อาทิตย์ละ 3 หรือ 2-3 หน

รายงานยังได้แจ้งว่า เป็นที่รู้กันว่ามีสารประกอบก่อ มะเร็ง ในเนื้อแดงที่หุงต้มสุกแล้ว หรือเนื้อที่แปรรูป ซึ่งเคยศึกษาได้พบว่ามีส่วนทำให้สัตว์ในห้องทดลอง เป็น มะเร็งทรวงอก กันมากขึ้น จึงทำให้เกิดสงสัยเหมือนกันว่า อาจจะเป็นต้นเหตุก่อให้เกิด มะเร็งทรวงอก ขึ้นในคนด้วย.

 

ที่มา  :  http://health.deedeejang.com/news/285.html

พฤติกรรมทำร้ายกระดูกสันหลัง

วันนี้เกร็ดความรู้มีพฤติกรรมทำร้ายกระดูกสันหลังมาบอกกัน....

1. การนั่งไขว่ห้าง จะทำให้น้ำหนักตัวลงที่ก้นข้างใดข้างหนึ่ง เป็นผลให้กระดูกคด

2. การนั่งกอดอก ทำให้หลังช่วงบน สะบัก และหัวไหล่ ถูกยืดยาวออก หลังช่วงบนค่อมและงุ้มไปด้านหน้า ทำให้กระดูกคอยื่นไปด้านหน้า มีผลต่อเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงแขน อาจทำให้มืออ่อนแรง หรือชาได้
3. การนั่งหลังงอ หลังค่อม เช่น การอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ติดต่อกันนาน ๆ เป็นชั่วโมง จะทำให้กล้ามเนื้อเกร็งค้าง เกิดการคั่งของกรดแลกติค มีอาการเมื่อยล้า ปวด และมีปัญหาเรื่องกระดูกผิดรูปตามมา
4. การนั่งเบาะเก้าอี้ไม่เต็มก้น ทำให้กล้ามเนื้อหลังต้องทำงานหนัก เพราะฐานในการรับน้ำหนักตัวแคบ
5. การยืนพักขาลงน้ำหนักด้วยขาข้างเดียว การยืนที่ถูกต้องควรลงน้ำหนักที่ขาทั้ง 2 ข้างเท่า ๆ กัน โดยยืนให้ขากว้างเท่าสะโพกจะทำให้เกิดความสมดุลของโครงสร้างร่างกาย
6. การยืนแอ่นพุง/หลังค่อม ควรยืนหลังตรง แขม่วท้องเล็กน้อย เพื่อเป็นการรักษาแนวกระดูกช่วงล่างไม่ให้แอ่นและทำให้ไม่ปวดหลัง
7. การใส่ส้นสูงเกิน 1 นิ้วครึ่ง จะทำให้แนวกระดูกสันหลังช่วงล่างแอ่นมากกว่าปกติ ซึ่งจะนำมาสู่อาการปวดหลัง
8. การสะพายกระเป๋าหนักข้างเดียว ไม่ควรสะพายกระเป๋าข้างใดข้างหนึ่งต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ควรเปลี่ยนเป็นการถือกระเป๋า โดยใช้ร่างกายทั้ง 2 ข้างให้เท่าๆ กัน อย่าใช้แค่ข้างใดข้างหนึ่งตลอด เพราะจะทำให้ต้องทำงานหนักอยู่เพียงซีกเดียว ส่งผลให้กระดูกสันหลังคดได้
9. การหิ้วของหนักด้วยนิ้วบ่อยๆ จะมีผลทำให้มีพังผืดยึดตามข้อนิ้วมือ
10. การนอนขดตัว/นอนตัวเอียง ท่านอนหงายเป็นท่านอนที่ถูกต้องที่สุด ควรนอนให้ศีรษะอยู่ในแนวระนาบ หมอนหนุนศีรษะต้องไม่แข็งหรือนิ่มเกินไป ควรมีหมอนรองใต้เข่าเพื่อลดความแอ่นของกระดูกสันหลังช่วงล่าง หากจำเป็นต้องนอนตะแคง ให้หาหมอนข้างก่ายโดยก่ายให้ขาทั้งหมดอยู่บนหมอนข้าง เพื่อรักษาแนวกระดูกให้อยู่ในแนวตรง

รู้อย่างนี้แล้ว ก็ควรจะหลีกเลี่ยงพฤติกรรมดังกล่าว จะได้ไม่ทำร้ายกระดูกสันหลังอีกต่อไป.

ที่มา  :  http://health.deedeejang.com/news/455.html

หมอแฉน้ำอัดลมชนิดน้ำตาล 0% ดื่มแล้วเตี้ย

หมอแฉ น้ำอัดลมทุกชนิดสุดอันตราย ทำให้ อ้วน-ผอม ฟันผุ จนเตี้ย กระดูกสึกส่วนชนิดน้ำตาล 0% เสี่ยงโรคไม่แพ้กัน เพราะอัดแก๊สทำท้องอืด ดื่มแล้วเตี้ย ไม่ช่วยลดความอ้วนแต่ทำให้ขาดสารอาหาร พร้อมเผยผลสำรวจโรงเรียนที่มีน้ำอัดลมขาย เด็กดื่มมากกว่าโรงเรียนปลอด น้ำอัดลม 7.3 แนะเด็กควรดื่มน้ำหวานที่มีส่วนผสมน้ำตาล ไม่เกิน 5% แถมเตือนระวังขนมเยลลี่ นมเปรี้ยว นมรสหวานน้ำตาลสูงปรี๊ด
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน จัดงาน
แต้มสีสันโรงเรียนอ่อนหวาน 7 วัน 7 สี ไม่มีน้ำอัดลม โดย นพ.สุริยเดว ทรีปาตี กุมารแพทย์ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ในฐานะโฆษกเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน กล่าวว่า น้ำอัดลมคือบ่อเกิดของโรคหลายชนิด อาทิ โรคอ้วน โรคผอม โรคฟันผุ กระดูกกร่อน โดยในน้ำอัดลม 1 กระป๋อง มีน้ำตาล 10-14 ช้อนชา ทำให้ทุกกระป๋องเพิ่มโอกาสเป็นโรคอ้วนได้ 1-2% ประกอบกับเด็กในปัจจุบันมักไม่ค่อยออกกำลังกายแต่ติดเกม โทรทัศน์ อินเทอร์เน็ต ยิ่งทำให้มีไขมันสะสมและเป็นโรคอ้วนได้
              นพ.สุริยเดว กล่าวต่อว่า ส่วนน้ำอัดลมที่โฆษณาว่ามีน้ำตาล 0% ยิ่งเป็นโทษต่อร่างกาย ทำให้เป็นโรคผอม เพราะขาดสารอาหาร เนื่องจากเครื่องดื่มที่ไม่มีสารอาหารใดๆ มีแต่แก๊ส เมื่อดื่มเข้าไปจะลดความหิว ท้องอืด ไม่อยากอาหาร ส่วนคนอ้วนที่คิดว่าดื่มน้ำอัดลมประเภทนี้ จะลดความอ้วนได้ เป็นความคิดที่ผิด เนื่องจากหากดื่มน้ำอัดลมชนิดนี้คนอ้วนจะกลายเป็นคนอ้วนเตี้ยขาดสารอาหาร เพราะกรดคาบอนิคในน้ำอัดลม ทำให้ร่างกายขับ แคลเซียม ออกจากร่างกาย โดยเฉพาะวัยรุ่น 9-14 ปี ต้องการ แคลเซียม เพื่อสร้างความเติบโตมากที่สุด ถ้าดื่มน้ำอัดลมมาก จะขับ แคลเซียม ออกจากร่างกายจนหมด จึงสูงไม่เต็มที่ และเกิดภาวะพร่อง แคลเซียม เมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ จะเป็นโรคกระดูกคดงอ สึกกร่อนเร็ว
              
น้ำอัดลมที่โฆษณาว่า มีน้ำตาล 0% ถือเป็นกลยุทธ์ทางการตลาด เครื่องดื่มเหล่านี้อาจไม่เห็นผลในระยะสั้นแต่จะมีผลในระยะยาว โดยเด็กที่มีปัญหาด้วยโรคอ้วนส่วนมาก เมื่อสอบประวัติ พฤติกรรมการกิน ก็พบว่า ชอบดื่มน้ำอัดลมปริมาณมาก และไม่ดื่มนม หรือเครื่องดื่มที่เป็นประโยชน์ โทษของการกินน้ำอัดลม ทำให้อ้วนผอม ฝันผุ จนเตี้ย กระดูกสึก การดื่มน้ำอัดลมเป็นเพียงการตอบสนองความสุขในการบริโภคเท่านั้น แม้แต่ความเชื่อที่ว่าน้ำอัดลมช่วยชดเชยเกลือแร่ที่สูญเสียจากการออกกำลังกาย แท้จริงแล้วกลับไม่ได้เกลือแร่ใดๆ เลย เพราะในน้ำอัดลมมีเกลือแร่น้อยมาก ดังนั้น หากต้องการความสดชื่น นอกจากน้ำเปล่าที่ถือว่ามีประโยชน์ที่สุดแล้ว น้ำผลไม้ที่ทุกๆ 100 ซีซี มีน้ำตาลไม่เกิน 5% ก็สามารถเลือกดื่มได้นพ.สุริยเดว กล่าว
              นพ.สุริยเดว กล่าวอีกว่า ขณะนี้เด็กที่เข้ารักษาเพราะน้ำหนักตัวเกิน หายใจไม่ออก นอนไม่ได้ ไปโรงเรียนไม่ได้ มากกว่าเดิม 2-3 เท่า จากพฤติกรรมชอบกินหวาน อาหารมัน เค็ม ไม่ออกกำลังกาย ซึ่งการรักษาต้องใช้เวลานาน เพราะต้องปรับพฤติกรรม และใช้หมอเฉพาะทาง 4-5 คน ช่วยกันดูแล สิ้นเปลืองค่ารักษาพยาบาลมาก ดังนั้น เครือข่าย เด็กไทยไม่กินหวานจึงเห็นว่า โรงเรียนเอกชน และโรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ควรพิจารณาขยายนโยบายโรงเรียนปลอดน้ำอัดลม เพื่อคุ้มครองสุขภาพของเด็กๆ
              ด้าน ผศ.ทพญ.ปิยะนารถ จาติเกตุ นักวิชาการเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน กล่าวว่า จากการสำรวจการบริโภคเครื่องดื่มของนักเรียน จากกลุ่มตัวอย่าง 9,300 คน ในโรงเรียน 14 จังหวัด แบ่งเป็นนักเรียน 8,400 คน ผู้ปกครอง 700 คน ครู 273 คน น่าตกใจที่พบนักเรียนในโรงเรียนที่ขายน้ำอัดลม ดื่มน้ำอัดลมบ่อยกว่านักเรียนโรงเรียนปลอดน้ำอัดลมถึง 7.3 เท่า ซึ่งนักเรียนมัธยมจะดื่มน้ำอัดลมมากกว่าประถม 3.9 เท่า หญิงดื่มบ่อยกว่าชาย 1.4 เท่า นอกจากน้ำเปล่าแล้วหากเป็นโรงเรียนในกรุงเทพฯ ที่มีน้ำอัดลม เด็กจะดื่มน้ำอัดลมมากกว่าเครื่องดื่มอื่น 37.3% ส่วนโรงเรียนปลอดน้ำอัดลมไม่มีเด็กคนไหนตอบว่าดื่มน้ำอัดลมเลย
              “หนึ่งในปัจจัยสำคัญของการดื่มน้ำอัดลมของนักเรียน ส่วนหนึ่งเกิดจากการขายน้ำอัดลมในโรงเรียน ซึ่งผู้ขายเครื่องดื่มในโรงเรียนปลอดน้ำอัดลมส่วนใหญ่ คือ สหกรณ์หรือร้านค้าของโรงเรียน 44% ส่วนโรงเรียนที่มีน้ำอัดลม มีทั้งแม่ค้าและสหกรณ์หรือร้านค้าของโรงเรียน 47.2% โดยโรงเรียนปลอดและไม่ปลอดน้ำอัดลมได้รับเงินสนับสนุนจากผู้จำหน่ายเครื่องดื่ม โรงเรียนไม่ปลอดน้ำอัดลมได้ถึง 81.3% โรงเรียนปลอดน้ำอัดลมได้เพียง 59.3% แต่หากโรงเรียนจะเลิกขายน้ำอัดลม มีโรงเรียนเพียง 26.8% ที่บอกว่าจะส่งผลกระทบต่อโรงเรียนผศ.ทพ.ปิยะนารถ กล่าว
              ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากงานวิจัย รายงานข้อมูลน้ำตาลในขนมและเครื่องดื่ม ของกองทันตสาธารณสุข กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีการจำแนกปริมาณน้ำตาลอย่างละเอียด ในหมวดขนมชนิดเยลลี่นิ่ม มีส่วนผสม คาราจีแนนหรือเจลาติน ที่มีการโฆษณาว่าสามารถกินแล้วไม่อ้วนได้นั้น พบว่า เจเล่ไลท์ มีปริมาณน้ำตาลถึง 12.75 ช้อนชา ไดนาแฟนซี มีปริมาณน้ำตาล 15 ช้อนชา
              นอกจากนี้ ยังพบว่า ในหมวดของนมเปรี้ยว ขนาด 450 มิลลิลิตร ยี่ห้อ เมจิ ไพเกน มีปริมาณน้ำตาล 14.63 ช้อนชา บีทาเก้น รสนมสด 12.95 ช้อนชา, บีทาเก้น รสส้ม 12.93 ช้อนชา, เมจิ ไขมันต่ำ รสผลไม้รวม รสสตรอเบอรี่ รสส้ม ดัชมิลล์ รสส้ม รสสตรอเบอรี่ รสบลูเบอรี่ รสสับปะรด ชนิดละ 9 ช้อนชา ส่วนนมเปรี้ยวขนาด 180 มิลลิลิตร ยี่ห้อ คันทรีเฟรชรสบลูเบอรี่ มีปริมาณน้ำตาล 5.18 ช้อนชา ยี่ห้อไอวี่ รสส้ม ไฮแคลเซียม รสธรรมชาติ รสสตรอเบอรรี่ รสบลูเบอรี่ มีน้ำตาล 4.95 ช้อนชา
              ทั้งนี้ งานวิจัยยังพบว่า นมรสหวาน ที่มีปริมาณน้ำตาลมาก เช่น ไมโล เนสท์เล่ ขนาด 450 มิลลิลิตร มีน้ำตาล 8.77 ช้อนชา นมหมีแอดวานซ์ รสช็อคโกแลต 6 พลัส ปริมาณ 200 มิลลิลิตร 8.4 ช้อนชา นมถั่วเหลือง ไวตามิ้ลค์ ชนิดขวด มีปริมาณน้ำตาล 6 ช้อนชา แลคตาซอย เอ็กซ์ตร้า 300 ยูเอสที และแลคตาซอย เอ็กซ์ตร้า และชนิดขวด 5.25 ช้อนชา ยูเอสที ไวตามิลค์ ขนาด 250 มิลลิลิตร 5 ช้อนชา และในส่วนของโยเกิร์ต พบว่า เมจิ รสวุ้นมะพร้าว ปริมาณ 150 มิลลิลิตร มีน้ำตาล 9.28 ช้อนชา เมจิ รสธัญญาหาร ขนาด 150 มิลลิลิตร มี 8.5 ช้อนชา ขณะที่น้ำอัดลมกลุ่มน้ำดำ ขนาด 325 มิลลิลิตร มีน้ำตาล 8-8.5 ช้อนชาเท่ากัน

ที่มา  :  http://health.deedeejang.com/news/438.html

 

หมายเลขบันทึก: 187041เขียนเมื่อ 9 มิถุนายน 2008 11:46 น. ()แก้ไขเมื่อ 2 พฤษภาคม 2012 13:26 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท