เมื่อเดือนที่แล้ว ออกไปเก็บข้อมูลที่โรงพยาบาลศูนย์ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลประจำจังหวัด เป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ที่มีผู้มารับบริการมาก มากเสียจนเข้าใจว่าคนส่วนมากชอบพูดกันว่าเป็นโรงฆ่าสัตว์ เพราะผู้ที่ทำหน้าที่ให้การบริการดูแลรักษา ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ เป็นหมอ เป็นพยาบาล หรือแม้กระทั่งเป็นคนงาน ล้วนแต่มีท่าทางที่เร่งรีบ พูดจาห้วนๆสั้นๆคำไม่ไพเราะหู แต่ก็เข้าใจและให้อภัยนะ เพราะรู้ว่าเขางานยุ่งทั้งคนไข้ทั้งญาติมารวมกันที่นี่เหมือนกับมาตลาดนัด แถมคนใข้บางคนก็สื่อสารกันไม่ค่อยจะรู้เรื่อง ก็เป็นแบบนี้แหละ ได้แต่เห็นใจและเข้าใจในภาระงานที่มีมาก มากเสียจนทำให้สุขภาพจิต ของผู้ให้บริการเสียไป เนื่องจากความเครียดในการทำงาน แม้ว่าทางโรงพยาบาลก็พัฒนาระบบการให้บริการ ให้รวดเร็วทันใจผู้รับบริการอยู่เสมอๆ แต่ก็ยังไม่ทันใจคนที่มารับบริการหรือญาติคนใข้ ทำให่ต่างคนต่างเครียดในต่างภาวะกัน ต้องทำใจ และเข้าใจทั้งสองฝ่าย
มาที่เรื่องของเราดีกว่า วันนี้ได้มาทำการประเมินระบบบริการของโรงพยาบาลว่ามีการดำเนินการเพื่อป้องกันการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูกและการดูแลหญิงหลังคลอดและครอบครัวที่ติดเชื้อเอช ไอ วี เป็นไปตามมารตฐานที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดไว้หรือไม่ และมีการดำเนินการอย่างไร โดยการไปดูจากเอกสารการแพทย์ที่มีการบันทึกข้อมูลการให้บริการ ตั้งแต่ OPD CARD ไปจนถึงใบรายงานการบันทึกต่างๆ เริ่มตั้งแต่ห้องบัตร งานฝากครรภ์ งานห้องคลอด งานหลังคลอด งานการตรวจชันสูตร(แลปด์) งานการจ่ายยา งานการจ่ายนมผสมให้กับเด็กที่เกิดจากแม่ที่ติดเชื้อเอช ไอ วี กลับไปกินที่บ้านทุกเดือน งานการติดตามเด็กมาเจาะเลือดตรวจเพื่อหาการติดเชื้อเอชไอ วี ในกรณีผู้ปกครองไม่พาเด็กมาตรวจเลือด ถ้าครบกำหนดโรงพยาบาลจะต้องตามมาตรวจเลือดเพื่อหาการติดเชื้อจากแม่สู่ลูก นี่เป็นหัวข้อคร่าวๆ ในการประเมินคุณภาพของการดำเนินงานในโรงพยาบาล และยังต้องสัมภาษณ์ผู้ให้บริการในแต่ละแผนกที่กล่าวมาแล้ว รวมทั้งแพทย์ที่ให้การดูแลรักษา ตลอดจนสัมภาษณ์หญิงหลังคลอดที่ติดเชื้อเอช ไอ วี ด้วยว่าเขาได้รับบริการจากโรงพยาบาลอย่างใดบ้าง จากการเก็บข้อมูลพบว่า มีการให้บริการเป็นไปตามที่มาตรฐานกำหนดไว้
และจากการที่ได้สัมภาษณ์หญิงหลังคลอดที่ติดเชื้อเอช ไอ วี 6 คน โดยสัมภาษณ์ทีละ 1 คนจะไม่เจอกัน เพราะเคยบอกแล้วว่าหญิงหลังคลอดที่ติดเชื้อจะไม่ค่อยเปิดเผยตนเอง กลัวคนอื่นจะรู้แล้วจะโดนสังคมรังเกียจ อย่างที่ได้เคยเล่าไปบ้างแล้ว การได้สัมภาษณืหญิงหลังคลอดเหล่านี้ ก็ได้เห็นถึงความรักของคนที่เป็นแม่ที่มีต่อลูกว่าทุกคนมีความปราถนาดีต่อลูกอยากจะเห็นลูกมีความเจริญเติบโต มีสุขภาพดี แม่หลังคลอดที่เราสัมภาษณ์ทุกคน บอกกับเราว่าตอนกินยาต้านไวรัสเมื่อตอนตั้งครรภ์นั้นจะไม่ยอมให้ลืมกินยาเป็นอันขาด เพราะรู้ดีว่าการกินยาขณะตั้งครรภ์จะมีผลต่อลูกในครรภ์ ว่ามีโอกาสจะติดเชื้อจากแม่เพิ่มขึ้นถ้าแม่กินยาไม่ครบหรือไม่สมำเสมอ และเมื่อลูกคลอดออกมาแล้ว ก็จะต้องให้กินยาต้านไวรัสในลูกอีก 1 - 6 สัปดาห์ ซึ่งการให้ยาต้านไวรัสในเด็กแรกเกิดจะมีความยุ่งยากมากเพราะเด็กยังดื่มไม่เป็นต้องใช่ตัวดูดยาน้ำ ที่ทางแพทย์เรียกว่า dropper ค่อยๆหยอดให้ลูกกินทุกๆ 6 ชั่วโมง ไม่ว่าจะดึดดื่นแค่ไหนก็ตาม แม่ก็ต้องตื่นมาให้ยาลูกให้ครบตามกำหนดทุกมื้อ เราถามเขาว่าเขาทำได้อย่างไร คำตอบที่เหมือนกันคือตั้งนาฬิกาปลุก เพราะไม่อยากให้ลูกได้รับยาไม่ครบ เพื่อลูกจะได้ไม่ติดเชื้อจากแม่ อยากให้ลูกเป็นปกติอย่าได้เหมือนกับตนเอง ตอนที่พูดถึงลูกหลายคนนำตาซึม บางคนก็นำตาไหลออกมา เราต้องให้กำลังใจกันยกใหญ่ คนทำงานก็หวังเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน หัวอกแม่ก็เป็นแบบนี้แหละ เราเข้าใจอย่างซาบซึ้งเพราะเราก็เป็นแม่เหมือนกัน
มีแม่อยู่คนหนึ่งที่ตั้งท้องแล้วลูกตายในครรภ์เมื่อคลอดออกมาแล้วลูกไม่มีชีวิต ตัวแม่เองมีความรู้สึกผิดมาตลอดที่ไม่สามารถมีลูกให้สามีได้ ตัวสามีเองก็อยากจะมีลูกมาก ตนเองก็ไม่เปิดเผยผลเลือดว่าติดเชื้อเอช ไอ วี ให้สามีทราบ เพราะในอดีตเคยมีคนรักมาก่อน สามีปัจจุบันได้ตรวจเลือดแล้วพบว่าไม่ติดเชื้อ เอช ไอ วี ก็กลัวถ้าจะบอกเรื่องการติดเชื้อของตนเองใหสามีทราบแล้ว สามีรับไม่ได้ ก็จะเลิกกับตนเอง ความลับเรื่องผลเลือดจึงเป็นความลับมาตลอด เวลาจะมาโรงพยาบาลเพื่อตรวจหรือรับยาต้านก็ไม่กล้ามาเพราะมีญาติพี่น้องทำงานอยู่ที่โรงพยาบาล ถ้าเห็นว่ามาหาพยาบาลคนนี้จะต้องทราบทันทีว่าตนเองติดเชื้อ จึงมีความกังวลใจอยู่ตลอดเวลา จะปล่อยให้มีลูกใหม่เพื่อสามีจะได้สมหวังก็กลัวว่าสามีจะติดเชื้อจากตนเอง เพราะปัจจุบันใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเวลาหลับนอนกับสามี เธอได้แต่โทษตนเองว่าทำหน้าที่ภรรยาไม่ดีเพราะไม่สามารถมีลูกให้กับสามีได้ ความทุกข์ใจจึงอยู่กับตัวเธอมาตลอด อยากมีลูกแต่กลัวสามีจะติดเชื้อ เอช ไอ วีจากตัวเธอ เรื่องนี้ไม่มีใครช่วยเธอได้นอกจากตัวเธอเองต้องมารับการปรึกษากับพยาบาลที่ให้การปรึกษาและเธอต้องหาทางคลี่คลายปัญหาด้วยตัวเธอเอง ฟังแล้วก็เศร้าใจ นี่คือชีวิตจริงที่เหมือนกับในนิยายต่างคนก็ต่างปัญหา และไม่มีใครแก้ปัญหาให้ได้นอกจากตัวเอง
เรื่องเอดส์นั้นมีปัญหาซับซ้อนซ่อนเงื่อนอีกหลายปมต้องค่อยๆแก้ออกทีละปม ปมแรกที่ต้องแก้คือให้ผู้ที่ติดเชื้อเอช ไอ วี เห็นคุณค่าในตัวเอง ว่าเราเพียงแค่มีเชื้เอช ไอ วีอยู่ในร่างกายเท่านั้น คุณค่าความเป็นคนไม่ได้อยู่ที่การติดเชื้อหรือไม่ติดเชื้อ แต่อยู่ที่การกระทำของตนเองนั่นแหละที่จะสร้างคุณค่าให้กับตนเองแค่ไหน คนทำงานเรื่องเอดส์ จึงต้องเจอกับปัญหา ร้อยแปด พันเก้า ถ้าจิตใจไม่เข้มแข้ง ทำงานได้ไม่นานก็ต้องขอเปลี่ยนงานย้ายงานใหม่ เราคนทำงานก็ต้องคอยให้กำลังใจซึ่งกันและกัน และให้การสบับสนุนแก่ผู้ปฏิบัติงานให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เท่าทีจะสบับสนุนได้ ถึงตอนนี้ต้องขอพักเพื่อไปเติมกำลังใจให้กับตัวเองก่อน เพราะเล่าเรื่องแบบนี้แล้วมันรู้สึกเศร้าๆอย่างไรบอกไม่ถูก บ้ายบายค่ะ
สวัสดีค่ะ
ขอบคุณมากๆ คะ ที่ได้ถ่ายทอดประสบการณ์และสิ่งที่ได้พบจากการทำงาน
ดิฉันขอแนะนำเกี่ยวกับการใส่คำสำคัญ คะ การใส่คำสำคัญควรใส่เป็นคำ หรือ ประโยคสั้นๆ ที่สอดคล้องกับเนื้อหาคะ ทั้งนี้เพื่อให้คำสำคัญที่ใส่ไปนั้น เชื่อมโยงไปยังบันทึกอื่นๆ ที่มีคำสำคัญเดียวกันคะ
รบกวนลองศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ http://gotoknow.org/blog/tutorial4u/tag/คำสำคัญ คะ
เพื่อเป็นประโยชน์ในการใช้งานคะ