จะมานั่งเบื่อ...เซ็ง...อยู่ทำไม แค่ปรับมุมการคิด ชีวิตก็เปลี่ยนแล้ว คลิ๊ก


พลิกวิกฤต ให้เป็นโอกาส

อาการ เบื่อ เซ้ง นั้น ฉันว่าเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้กับทุกคนเลยทีเดียวเชียวแหละ  ถ้าใครบอกว่าไม่เคย ไม่เค๊ย ไม่เคยเลย จริงอ่ะ.... แต่อาจจะมีก็ได้  ก็เค๊าเป็นคนโชคดีไงล่ะ อิอิ...

ที่นี่ลองมาอ่านบทความข้างล่างนี้ดู แล้วจะเห็นว่าจริงๆ ด้วยสิ ทำไมเราไม่คิดมุมอื่นบ้างล่ะ มัวมานั่งเบื่อกันอยู่ด๊าย.....อ่านแล้วโดนมาก เลยขอถือโอกาสขออนุญาตเจ้าของนำมาเผยแพร่..เพื่อเป็นวิทยาทานแก่เพื่อนพ้องน้องพี่ของดิฉัน….อันจะก่อประโยชน์ต่อไปอีกวงกว้างค่ะ เพราะพวกเรามีอาการเบื่อกันค่อนข้างรุนแรง


ภาวะเบื่อ..เซ็ง มันเป็นกันได้หมดทุกคนแหละค่ะ สุดแต่จะเบื่อมาก เบื่อน้อย ไม่ว่าจะเบื่องาน เบื่อเจ้านาย เบื่อสามี เบื่อภรรยา เบื่อสภาพแวดล้อมประจำวัน เบื่อภาระความรับผิดชอบ เบื่อความจน เบื่ออาการป่วย เบื่อสังคม เบื่ออารมณ์-ความรู้สึกตัวเอง เบื่อมันซะทุกเรื่องราว แม้กระทั่งเบื่อจนไม่มีอณูความรื่นรมย์แทรกอยู่เลยสักนิดเดียว เป็นเรื่องปกติค่ะ

แต่ภาวะแบบนี้มันนำมาซึ่งอาการของความเครียดทางจิตใจ ต่อด้วยความไม่ยินดีต่อสิ่งรอบตัว จะมองมุมไหนก็คับแคบ ตีบตัน มืดบอด โลกทั้งโลกเป็นสีดำ ทึม ซึมเซาไปหมด สิ่งนั้นก็เลวร้าย สิ่งนี้ก็ย่ำแย่ คนโน้นไม่ดี คนนี้ก็ไม่เอาไหน ใครๆ ก็ไม่ชื่นชม

...You are what the way you think... คุณคิดยังไง คุณก็จะเป็นอย่างนั้น

มันเป็นเรื่องที่เรารู้และเข้าใจกันดี แต่มักลืมไปเสมอ ว่ามุมมองความคิดของตัวเราเองนั้น มันบังคับรูปแบบชีวิตเราได้ เอาง่ายๆ แค่การคิดทางลบ (Negative thinking) กับการคิดทางบวก (Positive thinking) เรื่องธรรมดาๆ ที่คนเรามักจะลืมนึกถึงมันไป การที่เราจะสร้างมุมมองความคิดต่อสิ่งใดนั้น เราเลือกได้อยู่แล้ว แต่ทำไมไม่เลือกคิด เลือกมองด้วยมุมที่ก่อให้เกิดความรื่นรมย์แก่ชีวิตกันล่ะ

มีเรื่องจะเล่าให้ฟังค่ะ เป็นเรื่องที่เพื่อนได้ส่งต่อมาให้ทางอีเมล หาต้นเรื่องไม่ได้ว่ามาจากไหน แต่ก็ต้องขอขอบคุณ คุณคนแรกที่เล่าเรื่องนี้ค่ะ เรื่องมีอยู่ว่า

...มีมหาเศรษฐีคนหนึ่ง สุดแสน จะภูมิใจที่ลูกชายวัยห้าขวบของเขา กำลังจะได้เข้าเรียนในโรงเรียนชื่อดัง ซึ่งระดับเศรษฐีอย่างพวกเขาเท่านั้น จึงจะมีปัญญาส่งลูกหลานเข้าเรียนในโรงเรียนนี้ได้ แต่โดยส่วนตัวของเขาเอง ก็อยากจะสอนให้ลูกชายรู้จักกับชีวิตจริงในโลก ควบคู่ไปกับการสอนทฤษฎีในโรงเรียน

ในวันหยุด เขาจะตระเวนพาลูก-ชายคนเดียว ไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ แล้ววันหนึ่งเขาก็คิดถึงหัวข้อการสอนเรื่อง ...ความยากจน... เพราะเขามีความเชื่อว่า ลูกชายของเขาคงไม่มีวันรู้จักแน่นอน เขาจึงพาลูกชายไปเยี่ยมครอบครัวชาวนาครอบครัวหนึ่ง และพักอยู่กับชาวนาเป็นเวลา 1 วัน 1 คืน

เมื่อกลับถึงคฤหาสน์ของเขาแล้วในวันต่อมา มหาเศรษฐีก็ทดสอบว่า ลูกชายได้อะไรบ้าง จากการไปพักแรมกับชาวนาผู้ยากจน ลูกชายตอบคำถามของผู้เป็นบิดาว่า เขาขอบคุณพ่อเป็นอย่าง-มากที่พาเขาไปพบกับชาวนา และพักแรมที่นั่น ซึ่งทำให้เขาได้พบว่า..

ชาวนานั้น มีที่ทำงานเป็นท้องนาที่กว้างใหญ่ ในขณะที่พ่อมีเพียงห้องสี่เหลี่ยมที่ว่ากว้าง แต่ก็ยังน้อยกว่าห้องทำงานของชาวนา และอาหารที่ชาวนากินนั้น สามารถหาได้ตลอดเวลา รอบๆ บริเวณบ้าน ไม่ต้องไปซื้อหา ในขณะที่บ้านของเรามีเพียงตู้เย็นเท่านั้น ที่เป็นที่เก็บใส่อาหาร

เวลากินอาหารก็มีเพื่อนคุยอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา พ่อ แม่และลูก ในขณะที่ตัวเองก็ต้องนั่งกินอาหารโดด-เดี่ยว กับโต๊ะอาหารที่ยาวเกือบสิบเมตรและมีเก้าอี้ว่างเปล่าทั้งสองด้าน.. ลูกของชาวนาที่ซ้อนท้ายจักรยานของพ่อเขา ต้องกอดเอวพ่อให้แน่นๆ เพื่อจะได้ไม่ตกจากจักรยาน ตัวเขาเองต้องนั่งในรถยนต์ที่ใหญ่โตอยู่ข้างหลังเพียงลำพัง โดยมีคนขับรถพาไปทุกที่....

ชาวนามีแสงดาว แสงจันทร์เป็นโคมไฟส่องสว่างอยู่ตลอดเวลา ในตอน กลางคืน โดยไม่ขาดแคลน แต่เขามีเพียงแสงจากโคมไฟที่ต้องซื้อหามาด้วยเงิน.. ชาวนามีรั้วบ้านเป็นแม่น้ำ ภูเขา ที่กว้างสุดลูกหูลูกตา แต่เขาเองกลับมีเพียงแค่กำแพงอิฐบล็อกที่คลุมพื้นที่ไม่กี่ไร่
ลูกชาวนามีเพื่อนเล่นมากมาย เป็นจิ้งหรีด หิ่งห้อยนับร้อยนับพันตัว แต่เขาเองกลับไม่มีใครเป็นเพื่อนเลยเขาขอขอบคุณพ่ออีกครั้งที่ทำให้เขารู้คำตอบว่า ...จริงๆ แล้ว...เรายากจนกว่าชาวนามาก...

เป็นไงคะ...คุณแอบยิ้มในใจบ้างหรือยัง ?

ความรู้สึกนึกคิดของเราเองนั้น มาจากแก้วตาดวงใจของเราเอง ที่จะเลือกมอง เลือกรู้สึกด้วยมุมไหน เราเลือกได้ อยู่แล้วนี่นา

กลับมาที่อาการเบื่อโลกของเรา กันต่อ เมื่อรู้สึกตัวว่าเป็นโรคเบื่อเข้าแล้ว ให้รีบจัดการกับตัวเองทันที ปรับ หมุน หันมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าด้วยองศาที่ต่างออกไป พยายามมองหาในส่วนดี คือ ให้มองในทางบวกนั่นเอง แล้วความรื่นรมย์มันก็จะมา เอากันง่ายๆ ก็คือ ถ้ารู้สึกตัวว่าจ่อมจมอมเศร้าเมื่อไหร่แล้วล่ะก็ ให้รีบสะบัดความคิด พลิกมุมมองของคุณทันที อนุญาตให้ตวาดตัวเองได้ว่า ...ทำไม ถึงได้มองโลกในแง่ร้ายจังนะ... แล้วมุมมอง ก็จะทำการเริ่มหมุน จูนหาคลื่นทางบวกทันทีโดยอัตโนมัติ เราจะมองเห็นถึงความเป็นไปได้ ในความเป็นไปไม่ได้เหล่านั้น

ยามมีปัญหาที่คิดว่า หนักหนาสุดๆ ให้ลองนึกถึงวันที่ผ่านมา ที่เราได้เคยผ่านเรื่องหนักหนามาแล้วไม่รู้ กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ที่ตอนนั้นคิดว่า ครั้งนี้มันแย่ที่สุดแล้ว แต่เมื่อเวลาผ่านไป เรื่องที่ว่าหนักหนาเป็นที่สุดนั้น ก็เป็นแค่อุปสรรคธรรมดาๆ ที่เราก็ผ่านมาได้ มาเจอเรื่องใหม่ที่เป็นทุกข์ใหญ่กว่า เรื่องเมื่อวันนั้นก็ขี้ปะติ๋วไปเลย แล้วเรื่องในวันนี้มันก็คงจะผ่านไปได้อีกแน่นอน

เมื่อใดที่เริ่มหดหู่ ซึมเศร้า วิตก-กังวล ซังกะตาย กระสับกระส่าย หายใจ-กระแทกกระทั้น กอดเข่า เท้าคาง ให้รีบสะบัดความคิดเหล่านั้นไปไกลๆ แล้วเตือนให้ตัวเองคิด โดยการหันมองด้วยมุมใหม่ในทางบวกแทน เช่น

เมื่อถูกเจ้านายต่อว่า ตำหนิมาแทนที่จะโมโห ซึมเศร้า โกรธ เกลียด ก็ให้คิดเสียว่า นี่เป็นข้อควรระวังในการทำงานครั้งต่อไป ที่จะไม่ให้เกิดการบกพร่องซ้ำอีก

เงินไม่พอจ่าย คิดใหม่ว่า นี่คือ ข้อควรประจักษ์ถึงการที่ว่า เราไม่ได้มีการวางแผนการใช้จ่ายเงิน ควรอย่างยิ่งที่เราจะทำการใช้จ่ายเงินให้รอบคอบมากขึ้นกว่าเดิม

เบื่องาน ก็พึงคิดว่า ดีแค่ไหนแล้วที่เรามีงานทำ ซึ่งยังมีอีกหลายคนที่กำลังกากบาทตามกรอบโฆษณา ประกาศรับสมัครงานตามหน้าหนังสือพิมพ์อยู่ หรือบางคนก็ยังถือซองเอกสารย่ำต๊อกๆ ไปเร่สมัครงาน

ทะเลาะกับแฟน ก็มองเสียใหม่ว่า นี่คือ สัญญาณเตือนที่จะต้องหยุดนิ่งมองปัญหาที่เกิดขึ้น ว่าควรจะหาทางแก้ด้วยวิธีไหน ดีกว่าจะมาเอาชนะกันเอง

รำคาญคนในครอบครัวจู้จี้จุกจิกให้มองในมุมที่ว่า นั่นคือ ความห่วงใยจากคนที่เขารักเราจริง

เจ็บป่วยเล็กน้อย ให้คิดใหม่ซะว่า ดีแค่ไหนแล้วที่เราไม่เป็นอะไรไปมากกว่านี้ แล้วมองว่านั่นคือ สัญญาณเตือนไม่ให้เราประมาทในการดูแลสุขภาพ

ลูกหลานไม่ได้ดั่งใจ คิดอีกทีว่า เราควรจะเข้าใจเขา ไม่ใช่ให้คนเกิดทีหลังเรา รู้จักโลกเพียงไม่กี่ปี มาเข้าใจในตัวเรา

เพื่อนไม่มีเวลาให้ ก็คิดมองว่า เขาก็ต้องมีภาระ มีปัญหาของตัวเองให้รับผิดชอบมากพอแล้ว และนี่เป็นโอกาสดีที่เราจะได้มีเวลาเป็นของตัวเอง มีอิสระทางความคิด ฝึกความเข้มแข็งในการใช้ชีวิตด้วยตัวเองตามลำพัง

เมื่อทำเรื่องผิดพลาด แทนที่จะมานั่งรู้สึกผิด แล้วเศร้าหมอง จ่อมจมกับทุกข์ ให้มองเสียว่า เราได้บทเรียนที่มีค่ายิ่ง ที่จะทำให้เราจดจำและไม่ทำพลาดอีกในคราวต่อไป

มาคิดทางบวกกันเข้าไว้เถอะค่ะ อะไรที่คิดว่า เป็นไปไม่ได้ มันก็ดูเหมือนจะเป็นไปได้ ถ้ามาเลือกมอง เลือกคิดในทางที่ดี

ถึงแม้ว่าบางคนอาจจะลังเลอยู่ว่า การมองโลกในแง่ดีกับอีเดียต ห่างกันไม่ถึงเส้นขนแมวก็ตาม แต่การคิดทางบวกก็นำความสุขมาให้เราได้มากกว่า เพราะว่า ...จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว... มุมของการคิดจะกำหนดตามรูปแบบความคิด ส่งต่อคุณสมบัติในตัวของบุคคล เพียงแค่เราปรับเปลี่ยนมุมแห่งการคิด สภาพจิตใจเราก็เปลี่ยนด้วย จะสุขจะทุกข์นั้นอยู่ที่ใจ เป็นเรื่องที่เรารู้ๆ กันดีอยู่ แล้วทำไมจะ ต้องปล่อยให้ตัวเองเป็นคนไม่มีความสุขด้วยล่ะ

เศร้าเพราะความเบื่อเมื่อไหร่ ให้ใช้วิธีเปลี่ยนมุมการคิดดีกว่า... เพราะเมื่อเปลี่ยนอะไรไม่ได้แล้ว ก็ควรปรับดวงตา ดวงใจของตัวเราเองแทน จะบันดาลความรื่นรมย์ เสกสรรความสุข ละลายความทุกข์ ความเครียด ความเศร้า ความเหงา ความเบื่อแค่ไหน...เราก็เลือกได้ค่ะ

.......จะมานั่งเบื่อ...เซ็ง...อยู่ทำไม แค่ปรับมุมการคิด ชีวิตก็เปลี่ยนแล้ว.........

ที่มา : http://www.koosangkoosom.com

 สรุปว่า มองโลกให้มองในมุมที่คิดบวกทุกสิ่งย่อมมีมุมที่ดีซ่อนอยู่ด้วยเสมอ เป็นจริงดังคำที่ว่า "พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส" ดังนั้น ต่อไปนี้เรามาหามุมมองใหม่กันบ้างดีกว่าค่ะ คลิ๊ก.....

 

หมายเลขบันทึก: 185330เขียนเมื่อ 30 พฤษภาคม 2008 17:54 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 00:18 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

กาคิดอะไรเชิงบวก เชิงสร้างสรร จะได้อะไรที่มันมีคุณค่ามหาศาล  ใน  ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน   เรากำลังใช้  วินัยเชิงบวกในสถานศึกษา  เด็กๆๆจะได้พ้นคำสาปจาก พ่อแม่-ครู

  • มาติดตามอ่านค่ะ
  • มาชื่นชมกับข้อเขียนดีดีค่ะ

ขอบคุณมากค่ะ ทั้งสองท่าน และยินดีที่รู้จักค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท