เมืองไทยนี้ได้ชื่อว่า “สยามเมืองยิ้ม (Land of Smile)” ก็เนื่องด้วยเพราะเมืองไทย สังคมไทย คนไทย มีพลังแห่งการ “ให้” อยู่ในจิตในใจ
การให้...นั้นเป็นตัวแปรต้น ปัจจัยหลัก ปัจจัยอิสระ(Independent variable) ที่จะนำมาซึ่งรอยยิ้มบนใบหน้า (Dependent variable) เพราะว่าการให้นั้น ผู้ให้ คนให้ จะอิ่มเอิบ สุขจิต สุขใจ การให้จะทำให้จิตเอมไปด้วยสุข ใจอุดมไปด้วยรอยยิ้ม ดังนั้นจึงมีรอยยิ้มเปื้อนที่ใบหน้า
ในสังคมวงการธุรกิจที่แข่งขันและผู้บริหารผลักดันพนักงาน บุคลากร โดยเฉพาะพนักงานส่วนหน้า ที่ต้องสัมผัสติดต่อกับลูกค้าโดยตรงให้ “ยิ้ม” บางครั้งเราจะเห็นได้ว่าเขาเหล่านั้น “ยิ้ม” สะแหยะยิ้ม ยิ้มต่อหน้า ยิ้มแบบเสียไม่ได้ เป็นการยิ้มที่ไม่ออกมาจากใจ เพราะจิตของเขานั้นไม่ได้มี “การให้” เป็นพื้นฐาน
เมื่อกายเมื่อใจของเรามีการให้เป็นพื้นฐาน เราจะมีรอยยิ้มบนใบหน้าเป็นท่ามกลาง และชีวิตทั้งชีวิตจะยิ้มได้เป็นเบื้องปลาย
ต้น กลาง และปลายนี้ มิสามารถแยกออกจากกันได้ ดั่งเช่นผลไม้ที่มีทั้งอ่อน สุก และห่ามในลูกเดียวกันฉันใด
รอยยิ้มที่มีพื้นฐานมาจาการให้ในจิตใจ ย่อมส่งผลให้ใบหน้ายิ้ม และชีวิตทั้งชีวิตยิ้มได้ตลอดเวลา...
ในภาคธุรกิจบริการ (Service Business) โดยเฉพาะภาคราชการซึ่งเป็นภาคบริการขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ กิจกรรมการให้ (Give Activities) จึงเป็นกิจกรรมที่ควร ที่จำเป็นต้องสร้าง จำเป็นให้เกิดมีขึ้นในทุก ๆ ขณะตื่นของทุก ๆ คน
คิดดี พูดดี ทำดี คิดให้ พูดให้ ทำให้ เป็นสิ่งที่เราทุกคนควรสร้าง ควรดำรง ควรรักษา ควรพัฒนาให้เจริญเติบโตในจิตและในใจ
การดำเนินชีวิตในระบบเศรษฐกิจภายใต้หลักการของ “พุทธเศรษฐศาสตร์ (Buddhist Economics)” นั้นชาติจะต้องนำหน้าด้วย “พรหมวิหาร ๔” (เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา)
ความเมตตานั้นจัดเป็นกองทัพหน้าเพื่อสร้างให้จิตใจโน้มไปสู่วิถีแห่งการให้ด้วยแรงกายและแรงใจ
ฝึกใจเพื่อให้ ทำให้เพื่อให้ ฝึกให้ ในทุก ๆ ลมหายใจ แล้วรอยยิ้มนั้นจะไม่หนีไปไหนทั้งจากใจและกาย
แค่นึกว่าจะให้ ใจก็สุขแล้ว
แค่ตั้งว่าจะให้ ใจก็ยิ้มแล้ว
เพียงแค่คิดว่าจะให้ หน้าก็ยิ้มแล้ว
รอยยิ้มจะเปื้อนใบหน้าคนไทยในสังคมนี้ก็เพราะทุกคนมี “การให้ (Give)”
ในทุก ๆ กิจกรรมของการให้ (Moment of Truth) เราสามารถจะเก็บความรู้สึกดี ๆ เหล่านั้น รอยยิ้มใส ๆ เหล่านั้นไว้ใน “สมุดสะสมอารมณ์ใจ (Emotional Bank Account :EBA)” เพื่อสร้างเราให้เป็นคนที่มีรอยยิ้มสดใสอยู่ตลอดเวลา
การให้นั้นมิจำเป็นจะต้องดำเนินเป็นกิจกรรมที่เป็นรูปธรรม เขียนโครงการอะไรให้มากมาย เพียงแค่เรามีความรู้สึกที่ดี ๆ ให้แก่กันและกัน พ่อให้แม่ แม่ให้ลูก พี่ให้น้อง เพื่อนให้เพื่อน ผู้บริหารให้พนักงาน พนักงานให้เพื่อนร่วมงาน ให้ความรู้สึกดี ๆ ให้กัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน “เมตตากัน” เพียงแค่นี้รอยยิ้มก็จะเปื้อนเต็มหน้าเต็มฝาผนังขององค์กร
เริ่มต้นให้สิ่งที่ดี ๆ ต่อกัน เริ่มให้มิตรไมตรีต่อกัน เริ่มต้นให้อภัยซึ่งกันและกัน “การให้อภัย” เป็นการให้ที่มีค่ากว่าทรัพย์สินเงินทองใด ๆ ในปฐพี
การให้เพื่อรอยยิ้ม (Give for Smiles) สามารถเกิดขึ้นได้ง่ายเพียงแค่ลงทุนด้วยใจ
ชีวิตที่เกิดมาในวันนี้จะสูงค่า หากถ้าเรามีรอยยิ้มจาก “การให้”
นมัสการพระคุณเจ้า
ส่วนตัวเริ่มเห็นว่า ( การให้ - การรับ )เป็นสิ่งเดียวกันหมายถึงต่อเนื่องกัน
ขณะที่เราให้อย่างบริสุทธิ์ใจ เราจะได้รับโดยอัตโนมัติคือความสุขใจอย่างแท้จริงเช่นกัน
เมื่อก่อนตัวเองมองไม่เห็นความกลัวของตัวเองทีมีมาก เอาแต่ถนัดการกล่าวโทษแต่คนอื่นแต่สิ่งแวดล้อม แต่ไม่ได้ทำให้เราสบายใจอย่างจริงๆได้เลยสักครั้ง
แล้วก็พบ“การให้อภัย” เป็นการให้ที่มีค่ากว่าทรัพย์สินเงินทองใด ๆ ในปฐพี จริงๆด้วยอย่างท่านว่าไว้ การให้อภัยตนเองและผุ้อื่น การให้อภัยเป็นประสบการณ์ตรงที่ต้องทำเอง ต้องบอกจิตใจเราให้ไปถึงได้เอง ไม่มีคนสามารถสั่งหรือบอกเราได้ แต่พอเราทำได้เอง เราโล่ง สบายอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน
ตัวเองมองว่าสามสิ่งนี้ใกล้เคียงหรือเป็นสิ่งเดียวกันทีเดียว จนสัมผัสได้ คือ "ความรัก" "ความเมตตา" "การให้อภัย"
-ขอบพระคุณท่านมากคะ จริงอย่างท่านว่าไว้
แค่นึกว่าจะให้ ใจก็สุขแล้ว
แค่ตั้งว่าจะให้ ใจก็ยิ้มแล้ว
เพียงแค่คิดว่าจะให้ หน้าก็ยิ้มแล้ว