เมื่อทรงพระชนมายุได้ 29 พรรษา เจ้าชายสัทธัตถะผู้ทรงอยู่ในวัยหนุ่มแน่น ทรงตัดสินพระทัยที่จะออกจากพระราชวัง ขณะนั้นเป็นยามค่ำคืนหลังจากที่พระนางยโสธราได้ประสูติพระโอรสของพระองค์ พระนามว่า “ราหุล” เจ้าชายสิทธัตถะทรงมีพระทัยที่หนักแน่นเยื้องย่างก้าวแรกเพื่อเสด็จหลีกออกจากพระชายาผู้ยังทรงอยู่ในวัยสาวและเป็นที่รักของพระองค์ พระโอรสของพระองค์ ราชบัลลังก์และราชอาณาจักรของพระองค์ เป็นการสลัดออกอย่างสมบูรณ์จากความหรูหราและความสะดวกสบายและการปล่อยตนอยู่ในความหลงและอวิชชา นับเป็นก้าวย่างขั้นต้นสำหรับเจ้าชาย แต่เป็นก้าวย่างอันยิ่งใหญ่เพื่อมนุษยชาติ ดังเป็นที่ทราบกันโดยไม่ต้องสงสัย ไม่ต้องจินตนาการ เนื่องจากการก้าวย่างครั้งหนึ่งเช่นนั้นจะเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตที่ถูกกำหนดไว้ของมนุษยชาติ
ณ ประตูทางออกจากพระราชวังของพระองค์ มารผู้ซึ่งกำลังติดตามพระองค์อยู่ ได้ปรากฎต่อหน้าพระองค์เพื่อยั่วยวนชวนใจพระองค์ โดยกล่าวว่า “สัทธัตถะ กลับสู่พระราชวังเถิด อีก 7 วันเท่านั้น ราชรถอันวิเศษแห่งกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ในโลกจักปรากฏแก่ท่าน”
เจ้าชายสิทธัตถะตรัสตอบว่า “มาร ฉันทราบดี แต่ฉันไม่ยินดีในสิ่งนั้น”
“เมื่อเป็นอย่างนั้น อะไร คือ จุดมุ่งหมายของการออกบวชของท่านล่ะ”
“เพราะเหตุอย่างนั้น อาจทำให้เราได้บรรลุถึงการตรัสรู้ได้”
“ดีล่ะ นับจากนี้ไป ถ้าท่านมีความคิดที่เต็มไปด้วยความทะยานอยากเช่นนี้ เราจะติดตามท่านไป”
นับจากวันนั้นมา มารได้ติดตามเจ้าชายสิทธัตถะเป็นเวลาเกือบ 7 ปี เฝ้ารอโอกาสซึ่งไม่เคยหวนมาสู่แนวทางของเขาเลย จนกระทั่ง เมื่อพระสิทธัตถะประทับนั่ง ณ ภายใต้ต้นโพธิ์ เพื่อแสวงหาการตรัสรู้ของพระองค์ มารได้นั่งลงตามวิถีทางของเขา ท่วมท้นไปด้วยความทุกข์โทมนัสของเขา 6 ปี มาแล้วที่เขาได้ติดตามพระสิทธัตถะอย่างไม่ย่อหย่อน และคอยหาโอกาสเหนี่ยวรั้งพระองค์ไว้ แต่โอกาสไม่เคยเข้าข้างเขาเลย และตอนนี้การเหนี่ยวรั้งมันเกินกำลังของเขาเสียแล้ว
มาร มีธิดา 3 ตน ได้แก่ นางตัณหา นางราคาและนางอรตี พวกนางสังเกตเห็นความทุกข์ทรมานของผู้เป็นบิดา จึงได้ถามว่า “ท่านพ่อ เพราะเหตุใดท่านจึงดูเศร้าหมอง หมดหวังและหดหู่ใจด้วยเล่า ?” มารจึงได้บอกถึงสาเหตุแห่งความเศร้าหมองให้แก่ธิดามารทั้ง 3
จากนั้นธิดามารทั้ง 3 ได้กล่าวว่า “ท่านพ่อ ไม่ต้องกังวลใจไปเลย พวกเราจะทำให้เขาตกอยู่ภายใต้อำนาจของพวกเรา และนำเขามาให้ท่าน”
เมื่อเข้าไปใกล้พระสิทธัตถะ ธิดามารทั้ง 3 ได้กล่าวว่า “ พวกเราจักเป็นทาสรับใช้เบื้องบาทของท่าน”
พระสิทธัตถะไม่ทรงสนพระทัยข้อเสนอของธิดาเหล่านั้น ทั้งไม่ทรงทอดพระเนตรมองพวกนางเลย
ธิดามารทั้ง 3 จึงกล่าวกันเองว่า “บุรุษทั้งหลายมีรสนิยมที่หลากหลายและแตกต่างกันออกไป บางพวกชอบเด็กสาว บางพวกชอบหญิงวัยสาว บวกพวกชอบหญิงสาววัยกลางคน ยังมีอีก บางพวกชอบสาวแก่ พวกเราจะยั่วยวนพระสิทธัตถะโดยการแปลงรูปเป็นหญิงในลักษณะหลากหลายเช่นนั้น” ด้วยการใช้ความสามารถทางอิทธิฤทธิ์ของธิดามารเหล่านั้น พวกนางได้แสดงตนเป็นหญิงสาวหลายรูปแบบจากแบบหนึ่งเป็นอีกแบบหนึ่ง บ้างแต่งกายสวยงาม บ้างนุ่งน้อยห่มน้อย แต่ก็ไม่สามารถดึงดูดความสนใจจากพระสิทธัตถะได้ พระองค์ทรงอยู่ในสมาธิขั้นลึก พระทัยของพระองค์สงบเงียบดิ่งลึก
ในที่สุด เมื่อพระองค์ทรงทอดพระเนตรมายังพวกนาง พระองค์ได้ตรัสกะพวกนางว่า “จงดูในกระจกนี้ พวกเธอเห็นอะไรหรือ?”
เมื่อธิดามารทั้ง 3 มองดูที่กระจก พวกเขาเห็นภาพแห่งสิ่งน่าเกลียด อันเป็นลักษณะอันวิปลาสของพวกนางเอง ใบหน้าของพวกนางเป็นซากศพที่มีรอยยับย่น ผมของพวกนางก็กลับกลายเป็นสีขาว ร่างกายซูบผม โก่งงอและเป็นซากศพแห้งหนังหุ้มกระดูก พวกนางกลับกลายมาเป็นผู้หวาดกลัวและส่งเสียงขอพึ่งพิงพระสิทธัตถะ แทนที่จะมาครอบงำพระสิทธัตถะ พวกนางกลับถูกทำให้สงบลงโดยพระองค์และเมื่อเป็นเช่นนั้น จึงได้เปลี่ยนแปลงความตั้งใจเสียแล้ว
อีกคัมภีร์หนึ่งในเรื่องการประสูติของพระราหุลที่ปรากฏในสัทธรรมปุณฑิกสูตร(มีความว่า) เมื่อพระนางยโสธราทูลเจ้าชายว่า พระนางต้องการมีพระโอรสก่อนที่เจ้าชายจะเสด็จออกจากพระราชวังไป ภายหลังพระองค์ทรงชี้นิ้วมือของพระองค์ไปที่พระนางและพระนางก็ได้ทรงพระครรภ์ อย่างไรก็ตามทรงมีพระครรภ์เป็นระยะเวลาประมาณ 6 ปี ที่เป็นเช่นนี้เพราะพระราหุลกุมาร ครั้งหนึ่งในอดีตกาล ทรงเสวยพระชาติเป็นกสิกร สมัยหนึ่ง เมื่อพระองค์กำลังทำสมาธิอยู่ หนูได้กัดแทะที่ต้นไม้ ทำให้เกิดเสียงรบกวนพระราหุล พระองค์จึงตัดสินพระทัยไล่มันไป หนูได้วิ่งหนีไปเข้ารูหนู ฝ่ายพระราหุลได้ปิดทางเข้าทันที เพื่อป้องกันหนูหนีออกจากรูหนูนั้น พระองค์หลีกจากบริเวณรูหนูไปเป็นเวลา 6 วัน และทรงปฏิบัติสมาธิต่อ ในตอนท้าย เมื่อทรงบรรลุผลขั้นสูงของการปฏิบัติของพระองค์ ทันใดนั้น พระองค์จึงได้เสด็จไปนำสิ่งกีดขวางออกเพื่อเปิดรูหนู เพราะกรรมเช่นนั้น พระราหุลจงอยู่ในครรภ์ของพระมารดาเป็นเวลา 6 ปี ในที่สุด เมื่อพระนางยโสธราทรงให้การประสูติพระโอรส ประชาชนสงสัยว่าพระนางทรงมีชู้ พวกเขาจึงต้องการเผาพระนางให้สิ้นพระชนม์เสีย พระนางยโสธรา ตรัสว่า “หากพระกุมารนี้เป็นพระโอรสของเจ้าชายโคตมะจริง ๆ ขอให้ไฟไม่ไหม้เรา แต่ถ้าไม่ใช่ขอให้ทั้งเราทั้งพระกุมารถูกไฟไหม้เถิด”
เมื่อพระมารดาและพระกุมารเข้าไปในกองไฟ กองไฟกลับกลายเป็นดอกบัวและทั้งพระมารดาและพระกุมารจึงปลอดภัย พระโพธิสัตว์ทรงสถิตอยู่และปกป้องพระนางไว้
ในตอนต้นแห่งการประทับอยู่ในป่าลึกของพระสิทธัตถะ พระองค์ทรงพยายามที่จะทดลองการปฏิบัติที่หลากหลาย ทรงสนพระทัยคำสอนของอาฬาระ กาลันทะ (อาฬารดาบส) และอุททกะ รามบุตร (อุททกดาบส) อาจารย์ทั้งสองเป็นเจ้าลัทธิสอนสมาธิ เจ้าชายหนุ่ม ทรงค้นหาด้วยความมุ่งหวังอย่างแรงกล้าว่า เจ้าลัทธิทั้งสองท่านนี้ จะชี้แนะช่องทางและสอนพระองค์เกี่ยวกับหนทางแห่งความหลุดพ้นได้ กระนั้น หาเป็นเช่นนั้นไม่ แม้ว่าเจ้าชายทรงปฏิบัติสมาธิตามเจ้าลัทธิจนกระทั่งการบรรลุฌานสมาธิขึ้นสูงสุดก็เป็นไปได้ แต่พระองค์ก็ไม่สามารถที่จะเข้าถึงเป้าหมายของพระองค์คือ การตรัสรู้ได้ คำสอนของเจ้าลัทธิผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองจึงไม่เพียงพอที่จะทำให้เจ้าชายบรรลุความประสงค์ของพระองค์
จากนั้น เจ้าชายทรงเสด็จออกจากเจ้าลัทธิทั้งสองและเสด็จดำเนินไปจนกระทั่งมาถึงตำบลอุรุเวลา ใกล้แม่น้ำเนรัญชราที่หมู่บ้านคยา สถานที่แห่งนี้เงียบสงบมาก มีป่าไม้แน่นหนาและมีน้ำสะอาด เป็นสถานที่เหมาะสมที่สุดเพื่อความสงบของพระองค์ พระองค์ พร้อมทั้งผู้ติดตามทั้ง 5 ของพระองค์ ตัดสินพระทัยที่จะประทับอยู่ ณ สถานที่นี้ ปัญจวัคคีย์ (ผู้ติดตามพระองค์) ได้แก่ โกณทัญญะ, วัปปะ, ภัททิยะ, มหานามะและอชิตะ(อัสสชิ)
ในขณะนั้น ชมพูทวีป มีคนจำนวนมากเชื่อผิด ๆ กันว่า การตรัสรู้และความหลุดพ้นขั้นสุดท้ายสามารถบรรลุได้หากผ่านการทรมานตนเองและบำเพ็ญทุกกริยาอย่างยิ่งยวด ดังนั้น ณ ตำบลอุรุเวลา เจ้าชายและปัญจวัคคีย์จึงได้เริ่มฝึกฝนตนเองด้วยการปฏิบัติทรมานตนตามลำดับขั้น พระองค์ทรงทำตนให้อดอยาก โดยการเสวยข้าวเพียงเมล็ดเดียวต่อวัน นุ่งห่มเศษผ้า นอนบนเสี้ยนหนาม ทั้งหมดนี้ ทรงค้นพบในภายหลังว่าไม่สามารถทำให้สมหวังพระองค์ได้ เป็นสิ่งที่ไม่ใช่ประโยชน์ มันเป็นสิ่งไม่เป็นผลดีและก่อให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยแก่เจ้าชายเพราะเป็นสิ่งเปล่าประโยชน์ในตัวมันเองด้วยความมุมานะโดยวิธีเช่นนี้ประมาณ 6 ปี พระองค์ทรงอยู่ใกล้กับความตาย แต่พระองค์ก็ยังไม่เข้าใกล้เป้าหมายของพระองค์
เป็นที่แจ้งชัดถึงความผิดพลาดของพระองค์ ซึ่งพระองค์ทรงพิจารณาว่า พระองค์ควรทดลองให้สงบอีกสักครั้งหนึ่ง การปฏิบัติสมาธิเมื่อครั้งพระองค์ทรงพระเยาว์อยู่ซึ่งทรงระลึกเห็นเมื่อพระองค์ทรงปฏิบัติสมาธิอยู่ใต้ต้นแอปเปิ้ล(เถรวาทว่า ไม้หว้า)นั้น การกระทำอย่างนี้ได้ พระองค์จะต้องมีพระวรกายที่แข็งแรง พระองค์จึงทรงละทิ้งแนวทางการทรมานพระวรกายอย่างเข้มงวดเสีย และทรงหันมาเสวยพระกระยาหารตามปกติเพื่อฟื้นฟูกายภาพของพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงปฏิบัติเช่นนี้ ปัญจวัคคีย์ได้หลีกไปจากพระองค์อย่างผิดหวัง พวกเขาเข้าใจว่า พระองค์ทรงละความพยายามและใช้ชีวิตอยู่เยี่ยงมนุษย์ธรรมดาเสียแล้ว
เมื่อสภาพร่างกายของพระองค์ฟื้นฟูขึ้นเป็นธรรมดาแล้ว เจ้าชายทรงเริ่มต้นความสงบของพระองค์โดยประทับนั่งคู้บัลลังก์(นั่งขัดสมาธิ) ในท่าดอกบัวบาน ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง เป็นที่ทราบกันภายหลังว่าต้นโพธิ์ ณ ริ่มฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา หมู่บ้านคยา (ปัจจุบันเป็นที่รู้จักกันในนาม พุทธคยา) 49 วัน จากนั้น ในวันที่ 8 แห่งเดือนทางจันทรคติที่ 12 เจ้าชายได้ทอดพระเนตรเห็นดาวตกสองดวง ทำให้พระองค์ทรงทอดถอนลมหายใจ 3 ครั้งและตรัสว่า “มันเป็นเช่นนั้นเอง, มันเป็นเช่นนั้นเอง, มันเป็นเช่นนั้นเอง, สรรพสัตว์มีคุณธรรม อุปนิสัยและปัญญาเป็นของเฉพาะตัวมาดังนั้น มันเป็นความเห็นและความยึดถือที่ผิดว่าสิ่งเหล่านั้นจะนำพวกเขาให้หลงทางและขัดขวางพวกเขาจากการเข้าถึงการตรัสรู้”
ในที่สุด พระองค์ก็ได้ตรัสรู้ ทั้งหมดนี้ทรงบรรลุได้หลังจากการที่ทรงบำเพ็ญบารมีมาหลายกัปหลายกัลป์และการพัฒนาคุณสมบัติแห่งความกรุณา (การให้), ศีล, เนกขัมมะ, ปัญญา, วิริยะ, ขันติ, สัจจะ, สมาธิ, อธิษฐาน, เมตตาและอุเบกขา
อนุโมทนาสาธุ...
สุขสันต์วันวิสาขบูชาครับ
สวัสดี...วันวิสาขบูชา ค่ะ