Autonomy อิสรภาพที่แท้จริง


Autonomy อิสรภาพที่แท้จริง

           A = Autonomy ทุกวันนี้เรากำลังแสวงหาและเรียกร้องอิสรภาพกันมาก เราอยากมีอิสรภาพทางความคิด อิสรภาพทางเศรษฐกิจ การเงิน อิสรภาพทางสังคมและอิสรภาพในการใช้ชีวิต เราพยายามเหลือเกินที่จะปลดปล่อยตัวเองออกจากพันธนาการที่ผูกมัดรัดรึงเราอยู่ เราไม่ต้องการได้ชื่อว่าเป็นทาส หรือ ขี้ข้าของสิ่งไดๆ เราไม่ต้องการให้ใครมาจำกัดสิทธิเสรีภาพหรือล้อมกรอบให้เรา เราต่างก็ต้องการที่ประกาศอิสรภาพความเป็นเอกราชในแบบที่เราต้องการ อยากทำอะไรก็ได้ตามที่ใจต้องการ

         การมีอิสรภาพที่จะทำอะไร ก็ได้ตามที่ใจต้องการ ยังไม่ใช่อิสรภาพที่แท้จริง เพราะนั่นยังถือว่าเป็นทาสของความต้องการ ที่จะทำอะไรบางอย่าง ซึ่งมันถูกสร้างขึ้นมาจากความคิด ความอยากและความต้องการ หมายถึงเรากำลังตกเป็นทาสของสิ่งเหล่านั้นอย่างไม่รู้ตัว โดยที่เราหลงคิดว่า นั่นคือ อิสรภาพที่แท้จริง หากว่าเราต้องการอิสรภาพที่แท้จริง สิ่งแรกที่เราต้องทำ คือต้องตื่นอย่างเต็มที่ ตื่นจากความหลงใหล มัวเมาในสิ่งมอมเมาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และอารมณ์ที่ชอบใจ การที่พระพุทธเจ้าได้ชื่อว่าเป็น พุทโธ นั่นก็คือ ท่านเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พระองค์ทรงเป็นผู้ความเป็นรู้ธรรมดาของธรรมชาติ ตามที่มันเป็นอยู่ ทรงเป็นผู้ตื่นจากความหลง ในกิเลส ตัณหา อุปาทาน ความใคร่ ความอยาก และความยึดมั่นในสิ่งทั้งปวง ทรงเป็นผู้เบิกบานด้วยจิตที่ปล่อยวาง เบา โปร่ง โล่ง สบาย มีอิสรภาพที่ไร้ขีดจำกัดอย่างแท้จริง

          พระพุทธองค์ได้ทรงเคยตรัสถึงอิสรภาพและความเป็นทาสที่ถูกจองจำ ซึ่งขอเรียกว่า ตะรางดวงใจ ไว้ว่า "ยังมีคุกตะรางอยู่อีกอย่างหนึ่งซึ่งขังบุคคลไว้โดยคนทั้งหลายไม่ค่อยจะรู้จักกัน นั่นก็คือ ความติดอกติดใจหมกมุ่นพัวพันอยู่ในทรัพย์สมบัติแก้วแหวนเงินทอง และในบุตรภรรยา มันเป็นเครื่องผูกที่ผูกหย่อนๆ แต่แก้ได้ยากเหลือเกิน มันเป็นตะรางดวงใจอย่างแท้จริง

         คนที่มีอิสรภาพทางกายแต่ขาดอิสรภาพทางใจนั้นดูเหมือนจะน่าเดือดร้อนรำคาญกว่าผู้ขาดอิสรภาพทางกายเสียอีก โลกนี้คือคุกที่กว้างใหญ่ สัตว์ทั้งหลายผู้ที่มีใจเป็นทาสของความโลภ ความโกรธ ความหลง ยังเบียดเบียนกัน ยื้อแย่งแข่งดีกันอยู่นั้น จะผิดอะไรกับไก่ในกรงซึ่งเขานำไปสู่ที่ฆ่า แต่ยังจิกตีกันอยู่ เพื่อยื้อแย่งข้าวเปลือกกันอยู่นั่นเอง ..."

        ท่ามกลางโลกที่เจริญมั่งคั่งด้วยวัตถุและเทคโนโลยี่ อินเตอร์เนตในยุคปัจจุบันที่ดูเหมือนจะทำให้เรามีอิสรภาพที่ไร้พรมแดน ย่อโลกไว้ในฝ่ามือ รู้ข่าวสารทั่วโลกได้ฉับไว ต้องการอะไรที่ไหนเพียงแค่คลิกเข้าไป เราก็ได้ตามต้องการ ... แต่ทำใมความเดือดร้อน วุ่นวาย และปัญหาต่างๆของคนในโลกจึงไม่ยอมหมด นับวันมีแต่จะทวีความรุนแรงขึ้นทุกที ? วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่ไม่อาจตอบโจทย์ข้อนี้ได้เลย อยากให้ผู้อ่านลองกลับไปทวนย่อหน้าก่อนนี้อีกครั้งที่เกี่ยวกับพุทธพจน์ ...

          จะเห็นว่าจริงตามนั้นเลยว่า อิสรภาพที่แท้จริงไม่เกี่ยวกับทางกายหรือโลกภายนอกเลย ไม่ใช่เรื่องเศรษฐกิจ การเมือง สังคม วิทยาศาสตร์ หรือ เทคโนโลยี่ไดๆเลย แต่มันเป็นเรื่องของจิตใจ จิตวิญญาณ อิสรภาพทางกายหรือโลกภายนอกจะหมดไปเมื่อไรก็ได้ การเมืองอาจพลิกผัน เศรษฐกิจอาจพังพินาศ วิทยาศาสตร์อาจตีบตันได้ เช่นเดียวกับน้ำค้างที่ต้องแสงแดดในยามเช้า สิ่งเหล่านั้นมันไม่ได้อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาจากเรา อะไรก็ตามที่ไม่ได้อยู่ใต้การบัญชาของเรา

          เราไม่อาจเรียกมันว่าเป็นอิสรภาพที่แท้จริง อะไรก็ตามที่เราบังคับควบคุมมันไม่ได้ แล้วเราต้องทำตามมัน นั่นหมายถึงเรากำลังตกเป็นทาสของมัน และมันกำลังเป็นเจ้านายของเรา ที่จะสั่งบังคับบัญชาเราให้ทำอย่างไรก็ได้ตามใจของมัน อย่างเช่น นายคือความ โลภ โกรธ หลง ที่เรียกว่ากิเลสเหตุเศร้าหมองของจิต ซึ่งตามปกติของจิตใจเรา เมื่อไม่มีกิเลสรบกวนหรือครอบงำ ย่อมมีความผ่องใส สะอาด ว่าง สงบอยู่โดยธรรมชาติ เหมือนน้ำในอ่าง ที่ใสสะอาดอยู่ แต่เมื่อถูกความโกรธครอบงำ จิตย่อมกระวนกระวายเราร้อน อยู่ไม่เป็นสุขเหมือนน้ำที่เต็มด้วยฝุ่นผง

         เจ้าความโลภ ความโกรธ ความหลงที่ว่า จึงเป็นอริราชศัตรูต่อความสงบสุขของจิตใจ แทนที่จะให้เจ้าสามตัวนี้ครอบงำเป็นนายเรา เราลองมาเป็นนายครอบงำมันบ้าง เราต้องออกมาประกาศอิสรภาพ เอกราชจากพวกนี้เสียที และทุกครั้งที่เราเป็นนายควบคุมอารณ์เหล่านี้ได้เราจะภูมิใจในตัวเอง เราจะเป็นผู้ชนะอย่างแท้จริง การเอาชนะตนเองได้ พระพุทธองค์ตรัสว่าเป็นชัยชนะที่ประเสริฐที่สุดแล้ว ตรงกันข้ามกับคนที่คิดว่าตนเอาชนะผู้อื่นได้ ด้วยยศ อำนาจ เงินทอง ข้าวของ บริวาร ตัวเลขในบัญชีธนาคาร ตำแหน่งทางการเมือง หรือหน้าตา ความสวยความงามเป็นต้น ที่แท้กลับเป็นผู้แพ้และเป็นทาสผู้น่าสงสารเสียยิ่งกว่า คือตกเป็นทาสของเจ้านายคือกิเลสที่ทารุณโหดร้ายยิ่งนัก

         มีคำถามว่า เราจะปลดปล่อยความเป็นทาสจากเจ้ากิเลสนี้ได้อย่างไร? แล้วอะไรคือหัวใจของอิสรภาพที่แท้จริง? ผู้รู้ท่านได้บอกไว้ว่า อิสรภาพที่แท้จริง เป็นเรื่องของจิตวิญญาณ มันเป็นสภาวะที่เป็นอิสระจากอดีต จากอนาคต ปราศจากการผูกมัดกับเรื่องราวในอดีต ไม่ถูกอดีตลากไปข้างหลัง และไม่ถูกอนาคตฉุกกระชากลากถูไปข้างหน้า เป็นอิสระจากจินตนาการ จากความอยาก ความต้องการ อยากโน่น นี่ นั่น เพราะสิ่งเหล่านั้นมันคือตัวลากให้เข้าไปในอนาคต

         อดีตและอนาคตนั้นไม่ได้มีอยู่จริง มันคือสิ่งที่ผ่านไปแล้วและยังมาไม่ถึง สิ่งที่อยู่กับเราตอนนี้คือปัจจุบัน ผู้ที่อยู่กับปัจจุบันจะไม่ยึดแบกอดีตและอนาคตไว้ เขาจะได้ลิ้มรสของอิสรภาพที่ไม่มีโซ่ตรวน โซ่ตรวนแห่งความทรงจำในอดีต โซ่ตรวนของความต้องการแห่งอนคต มันเป็นโซ่ตรวนที่ผูกชีวิตและจิตวิญญาณไว้ โดยไม่ปล่อยให้ได้อยู่กับปัจจุบัน ซึ่งเป็นชีวิตและอิสรภาพที่แท้จริงเลย

ปัจจุบันสำคัญที่สุด พระพุทธเจ้าเมื่อครั้งประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตะวัน เมืองสาวัตถี ได้ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย ซึ่งปรากฏในภัทเทกรัตตสูตรว่า

         "บุคคลไม่ควรคิดถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว ไม่ควรมุ่งหวังสิ่งที่ยังมาไม่ถึง บุคคลใดเห็นแจ้งในปัจจุบันธรรม ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลนในธรรมนั้นๆ ผู้นั้นควรเจริญธรรมนั้นเนืองๆ ความเพียรควรทำเสียแต่วันนี้ เดี๋ยวนี้ เพราะไม่มีใครรู้ความตายในวันพรุ่งนี้"

          อดีตที่ผ่านมาไม่จะดีหรือไม่ดีก็ไม่ควรหวนคะนึงถึงมัน ปล่อยให้มันผ่านไปไม่ควรคิดให้เปลืองเวลา หรือคิดแก้ไขให้กลับคืนได้ ไม่ต้องบ่นเสียดาย หรือไม่น่าเลย จะทำให้จิตหดหู่ไปซัเปล่า จงเอาจิตมาจับที่ปัจจุบันดีกว่า แม้เรื่องของอนาคต ข้างหน้าก็อย่าไปโน้มน้าวเอามาครุ่นคิด ปรุงแต่งจิตสร้างวิมานในอากาส ฝันกลางวันลมๆแล้งๆ มันยังมาไม่ถึง มันไม่อาจคาดการณ์ได้เลย หากคิดไปก้รังแต่จะว้าวุ่นเปล่าประโยชน์ ให้พยายามตัดสิ่งที่ผ่านไป และอย่าไปคว้าสิ่งที่ยังมาไม่ถึง จงจับอยู่กับปัจจุบัน ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว ไม่ล่องลอย รู้อยู่กับปัจจุบันขณะ รู้แล้วปล่อย รู้แล้ผละ รู้แล้วละ รู้แล้วาง ... ปล่อย , ผละ, ละ, วาง

          ปล่อย อดีตที่ผ่านไปทั้งหมดอย่าเก็บมาคิด มาปรุง มาแต่งเติมเสริมต่อให้วุ่นวาย

          ผละ จากอนาคต สิ่งที่ยังมาไม่ถึง พรุ่งนี้ไม่มี อย่าไปคาดการณ์อะไรล่วงหน้ามันไม่แน่

          ละ อุปาทานความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งปวงว่าเป็นเราเป็นของเราไม่มีอะไรเป็นของเรา

          วาง ความผูกมัด ยึดติดในอารมณ์สิ่งที่กระทบใจ ให้จิตจับอยู่กับปัจจุบัน เพียงแค่กำหนดรู้ด้วยสติที่สมบูรณ์เพียบพร้อม รู้เฉยๆ รู้แล้วปล่อย อย่าเข้าไปปรุงแต่งมันต่อ

        เรื่องทั้งหมดทั้งมวลถ้าไม่มีความยึดมั่นถือมั่น มันก็เป็นสิ่งที่แยกได้ แต่พอไปยึดมั่นถือมั่นเข้า เริ่มรู้สึกว่าแยกไม่ได้ ขาดไม่ได้ ถึงกับประกาศออกมาว่า ฉันเกิดมาเพื่อสิ่งนี้เพราะจิตคนเราส่วนมากคลุกคลีด้วย โลกียธรรม กามรส ถูกครอบงำด้วย ความสุข ความเพลิดเพลินจากสิ่งใด ก็หมายมั่นผูกพันกับสิ่งนั้น ไม่อยากปล่อยให้หลุดลอยไป คิดว่าจะครอบครองเป็นเจ้าของมัน แต่หารู้ไม่ว่ามันกำลังเป็นเจ้าของเป็นนายของเรา

         การจะมีอิสรภาพที่แท้จริง คือการดับเจ้าตัวความอยาก อยากได้ อยากมี อยากเป็น และการปล่อยวางจากความยึดติดถือมั่นในสิ่งต่างๆได้ ยิ่งยึดมั่นน้อยลงเท่าไร อิสรภาพก็มากขึ้นเท่านั้น ยิ่งอิสรภาพมากขึ้นเท่าไร ความสุขก็เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ไม่เชื่อลองดูดิ ...

 

คำสำคัญ (Tags): #autonomy#อิสรภาพ
หมายเลขบันทึก: 182903เขียนเมื่อ 17 พฤษภาคม 2008 08:33 น. ()แก้ไขเมื่อ 9 เมษายน 2012 10:38 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท