วันที่ 7 พ.ค.51 เดินทางไปหมู่บ้านไทดำ(อยากไปนานแล้ว) เพราะที่นี่เขาจะมีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือน ที่ไหนทั้งขนบธรรมเนียม และเรื่องของการทอผ้าไทดำ ที่นี่มีสินค้าที่ทำจากผ้าหลายอย่างไม่ว่าจะเป็น ชุดฮี (ใส่ในงานศพ) ผ้าพันคอ ผ้าคาดเอว กระเป๋า ผ้าไหมผสมผ้าฝ้าย หมวกสมัยก่อน( เรียกว่า มู่ ) ชุดอ้วงนม( ใช้ในงานอุปสมบท ) ผ้าขาวม้า ตอนนี้เรามาเรื่องประวัติของชาวไทดำ ไทดำ พื้นเพมาจาก เมือง ยูนานประเทศประเทศเวียดนาม ชาวไทดำจะมีการทอผ้าใช้กันเอง ผ้าที่ทอก็เป็นผ้าที่ได้ยกตัวอย่างไปในตอนต้นแล้ว พี่ที่เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้(สถานที่ทอผ้า) ผ้าพื้นของกลุ่มไทดำ จะเป็นสีดำเพราะเขาต้องการอนุรักษ์ความเป็นพื้นบ้านของกลุ่มไทดำในสมัยก่อน แต่ต่อมาก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเป็นสีอื่น เพราะลูกค้าบางคนเขาอาจจะชอบสีที่สดใส ดูแล้วสบายตา (ยังคงเอกลักษณ์ของลวดลายไว้เหมือนเดิม) ส่วนเสื้อของที่นี่เขาจะแบ่งออกเป็น 2 แบบคือ แบ่งตามสีตก และแบบสีไม่ตก มีการใช้จักรเย็บและมือเย็บ ทางด้านสมาชิกที่ทอผ้ามีทั้งหมด 6 คน (ดูแล้วมีแต่คุณยายทั้งนั้น) คุณยายบางคนอายุแก่มากแล้ว 75 ปีก็มี แต่ก็ยังสามารถทอผ้าได้(เทียบกับผู้สูงอายุที่คึกคักในญี่ปุ่นได้อย่างสบาย) คุณยายบอกว่าทอเสื้อตัวหนึ่งจะใช้เวลาประมาณหนึ่งอาทิตย์
บางครั้งที่นี่เขาจะนำเข้าผ้าที่ย้อมสีแล้วจากโรงงานมาทอ(สีจะไม่ตก)และผ้าที่ย้อมเอง(สีจะตกแต่ก็เป็นธรรมชาติ เพราะปัจจุบันนี้คนส่วนใหญ่เขาจะไม่นิยมใส่ผ้าที่มีสีตกแต่ลายไหมของที่นี่จะใช้สีธรรมชาติ ที่ได้จากเปลือกของผลไม้ (อีกอย่างหนึ่งก็เป็นความเชื่อของชาวไทดำ) และคุณ Endou ก็ได้ช่วยสมาชิกกลุ่มของที่นี่คิดวิธีวางขายสินค้า (เพราะเธอเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงในญี่ปุ่น) ยกตัวอย่างเช่น กล่องบรรจุภัณฑ์ของที่นี่คุณ Endou ก็นำกระดาษหนังสือพิมพ์มารองภายใน กล่องแล้วถึงได้นำผ้ามาใส่ ต่อจากนั้นภายนอกกล่องก็จะนำกระดาษสีขาวหรือสีอะไรก็ ที่ ชอบได้มาวางไว้ด้านหน้ากล่องแล้วนำเอาเส้นใยป่านที่ถักเปียแล้วนำมา ผูกรอบกล่องและทำสัญญาลักษณ์ หรือ โลโก้ แต่ถ้าเป็นผลิตภัณฑ์ที่วางขายให้ลูกค้าดู ก็อาจจะม้วนผ้าเข้าหากันเป็นลักษณะกลมๆ แล้วใช้เส้นใยป่าน ผูกรอบผ้า (แบบฉบับญี่ปุ่น) เสร็จจาก ดูกลุ่มทอผ้าพื้นเมืองของชาวไทดำแล้ว ก็ไป กินข้าวเที่ยง วันนี้มีน้ำอ้อยให้ดื่มด้วยแต่หวานไปหวานแบบธรรมชาติ พอดีช่วงที่นั่งกินข้าวอยู่มีนายตำรวจนั่งอยู่ในร้านคุณเอนโด้ ก็เลยไปขอตำรวจถ่ายรูป (เขาบอกว่าตำรวจไทยเท่มาก) เสร็จจากกินข้าวก็ออกเดินทางไปที่หมู่บ้านหุบตะพงมาที่เดิม เพราะคุณเอนโดจะมาช่วยกลุ่มสมาชิกสหกรณ์จัดร้านและแนะนำวิธีการตกแต่งผลิตภัณฑ์ เรื่องรูปแบบ รูปทรง ลวดลาย แต่ที่นี่จะมีปัญหาหนักตรงที่เส้นใยป่านที่นำมาทำกระเป๋าหรือหมวกเวลาสะพายจะคันๆ (จากกลุ่มผู้บริโภค) ดังนั้นกลุ่มนี้ต้องหาวิธีที่ทำให้กระเป๋าหายคัน แต่ที่ญี่ปุ่นเขาก็จะมีวิธีของเขาคือจะใช้บุกที่เป็นผงแล้วนำผงบุกมาละลายน้ำต่อจากนั้นก็ให้นำหมวกลงไปแช่ทิ้งไว้ ความคันก็จะลดลง (ผงบุกที่ญี่ปุ่น 1 ช้อนชา ราคา 60 บาท)
คุณเอนโด้ยังแนะนำอีกว่าสินค้า เช่น กระเป๋าไม่ควรมีหลายสีจนเกินไป ฉลากก็เป็นสินค้าอีกตัวหนึ่ง ถ้าหากฉลากดูดี ก็ทำให้สินค้าดูดีมีราคาไปด้วย และไม่ควรตกแต่งด้วยดอกไม้เพียงอย่างเดียว ควรจะมีแบบอื่นบ้าง เช่นผีเสื้อ นก ปลา (อาจทำยากหน่อย)
แต่ที่ที่เมืองไทยคงราคาไม่แพงเท่าญี่ปุ่น ต่อจากนั้นก็จัดร้านให้ดูเป็นบางส่วนโดยการนำผ้าสีพื้นๆ ส่วนสินค้าที่อยู่ในตู้ ควรจะอยู่ในห่อสวยๆ หรืออาจทำโชว์ลูกค้าเป็นบางผลิตภัณฑ์ ผ้าที่ปูพื้นในตู้ไม่ควรเป็นสีสดไป หรือหากมีกล่องก็ควรนำมาวาง สีพื้นๆ อาจจะใช้หนังสือพิมพ์ เพื่อให้สินค้าโดดเด่น การนำลูกไม้ประดับตกแต่งกระเป๋าทำให้กระเป๋าขายยาก เพราะที่ญี่ปุ่นไม่นิยมใช้กัน หรือถ้าใช้ลูกไม้ก็จะใช้สีลูกไม้ที่มีสีกลมกลืนกับกระเป๋า การทำกระเป๋าก็อาจแบ่งเป็น รูปแบบธรรมชาติ และแบบหลากหลาย ( จ๊าบๆ)
คุณเอ็นโด (artist) พูดว่าเราควรคิดว่าเราทำงานแบบศิลปิน ไม่ใช้ทำงานแบบสาวโรงงาน ให้ถือว่าของที่เราทำมีเพียงเดียวในโลกแล้วผลงานที่เราทำก็จะออกมาดี(เพราะเธอเป็นศิลปิน)
· สุดท้ายคุณโอคาว้า ก็ได้แนะนำว่าข้างหน้าร้านควรมีหมวกใบใหญ่ๆสักใบแขวนไว้ หน้าร้านเพื่อเป็นจุดเด่นและจุดสนสนใจของลูกค้าที่เดินทางผ่านไปมา
· ที่ญี่ปุ่นจะใช้เลือกลูกพลับทำถุงกระดาษ เพราะเปลือกลูกพลับจะทำให้ถุงแข็ง
ไม่มีความเห็น