หลายคนอาจจะคิดว่า อาการหูอื้อเป็นเรื่องธรรมดา แป๊บ ๆ ก็หาย สำหรับฉัน ตอนแรกก็คิดแบบนั้น แต่ตอนนี้มันไม่เป็นอย่างที่คิดแล้วน่ะสิ....
เรื่องของเรื่่องเริ่มเมื่ออาทิตย์ก่อน ที่รู้สึกว่า พอตื่นเช้าขึ้นมาปุ๊บ หูข้างขวาจะรู้สึกมันมันตัน ๆ ราวกับมีบางสิ่งอยู่ในหู (ก็ "ขี้หู" นั่นแหละค่ะ ...แหะ แหะ กลัวจะไม่สุภาพ ต่อไปนี้ขอเรียกว่า "เจ้าสิ่งนั้น" ก็แล้วกันนะคะ) ที่ไม่อาจจะเอาออกได้ เพราะคุณหมอหูเคยเตือนไว้ว่าเวลาใช้ Cotton bud เช็ดทำความสะอาดหู ให้เช็ดเฉพาะภายนอกเท่านั้น ห้ามแหย่เข้าไปในหูเด็ดขาด เพราะเท่ากับเป็นการดันขี้หูให้มันอัดกันเข้าไปข้างใน
ฉันรู้สึกอย่างนี้มาประมาณ 3-4 เช้าแล้ว (ช่วงกลางวันหลังจากนั้นจะรู้สึกปกติดีค่ะ) เช้าวันอังคารที่ 6 พ.ค. ฉันจึงตัดสินใจว่า ไม่ไหวละ ไปหาหมอ ให้หมอดูดเอา "เจ้าสิ่งนั้น" ออกดีกว่า หูจะได้โล่งๆ ซะที
ว่าแล้วฉันก็ดิ่งไปที่คลีนิคหมอหูในเมืองทันที หลังจากแจ้งอาการให้หมอทราบแล้ว หมอก็จัดการใช้อุปกรณ์เพื่อจะดูดเอา "เจ้าสิ่งนั้น" ออก แรก ๆ ฉันก็เกือบจะโล่ง ๆ แล้ว แต่ไป ๆ มา ๆ เริ่มเจ็บนิด ๆ คุณหมอก็เลยหยุด แล้วบอกฉันว่า มันดูดออกไม่ค่อยได้เพราะมันเหนียว แต่จริง ๆ แล้วถ้าจะให้พยายามดูดออกให้จริงๆ ก็ได้เหมือนกัน แต่เครื่องมือมันอาจเข้าไปถึงหูชั้นกลางซึ่งค่อนข้างอันตรายและเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ อักเสบ และบวม คุณหมอก็เลยแนะนำว่า ให้ฉันเอายาละลาย "เจ้าสิ่งนั้น" ไปหยอดเช้า-เย็น ก่อน ถ้าหยอดไปแล้วประมาณ 4-5 วัน ยังไม่หาย ก็ให้กลับมาหาหมอใหม่
แล้วฉันก็รับยาไป คืนนั้นก็จัดการหยอดยาก่อนนอน แรก ๆ รู้สึกเหมือนน้ำยามันค่อย ๆ ดึ๊ด ๆ เข้าไปข้างในหู (ทำให้ฉันรู้สึกว่า...นั่น ๆ เจ้าน้ำยานี้มันคงค่อย ๆ เข้าไปละลาย "เจ้าสิ่งนั้น" ของฉันแล้วเฟ้ย) ว่าแล้วก็นอนหลับไป
จนรุ่งเช้า ...ไม่หายค่ะ หูยังคงอื้ออยู่ดังเดิม พอตื่นมาก็เลย อ้ะ ..หยอดซักหน่อยซิ เช้าแล้วนี่...ฉันหยอดไปประมาณ 10 หยด (ตามที่ใบกำกับยาเขียนบอกไว้) แล้วนอนตะแคง รอให้น้ำยามันไหลลง ในใบสั่งยาบอกว่า ทิ้งไว้ 15 นาที แต่หลังจาก 15 นาทีผ่านไป ฉันไม่รู้สึกเลยว่าน้ำยามันไหลเลย ฉันจึงนอนตะแคงอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง (พอดีเพื่อนโทรมาคุยด้วยแต่เช้า เลยได้นอนตะแคงเกินเวลา อิอิ)
พอลุกขึ้น โอ้...ไม่นะ เจ้าน้ำยานั้นมันกลับค่อย ๆ ไหลลงข้างหูฉัน ..อะไรกันเนี่ย มันไม่ซึมลงไปในหูฉันซักนิดเลยเหรอ??? ฉันคิด... เช้านั้นจึงต้องไปทำงานด้วยอาการหูขวาอื้อ รู้สึกอึดอัดใจมากกับการได้ยินเพียงข้างเดียว ใครพูดอะไรก็ต้องคอยเอียงหูซ้ายไปฟัง...
บ่ายแล้ว เจ้าอาการหูอื้อนี้ก็ยังไม่หาย ฉันจึงต้องงดสอนนิสิตไปโดยปริยาย (เนื่องจากต้องฟังนิสิตสอบพูดน่ะค่ะ ในเมื่อหูฉันไม่ได้ยิน ฉะนั้น ถ้านิสิตพูดไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร)
และแล้ว หลังจากบอกนิสิตเสร็จว่า พบกันสัปดาห์หน้านะคะ...เจ้าอาการดังกล่าวก็หายเป็นปลิดทิ้ง ฉันกลับมาพักผ่อนต่อที่บ้าน สักพัก อ้าว เป็นอีกละ...อะไรกันเนี่ย งงไปหมดแล้วนะ...
คืนนั้น ก่อนนอน ฉันก็หยอดยาเช่นเคย แล้วก็หลับไป ตื่นมาด้วยอาการเดิม คือ ยังคงอื้ออยู่ เช้าก็หยอดอีกรอบ ก็ยังคงอื้ออยู่ ...
ฉันนั่งทำงานที่บ้านไปซักพัก บอกน้องที่ทำงานไว้ว่า สาย ๆ จะเข้าไปละกัน....สองชั่วโมงผ่านไป อาการหูอื้อดังกล่าวเป็นหนักกว่าเดิม คือ ฉันเริ่มปวดข้างในหู มันส่งผลให้ฉันปวดหัวตามมาด้วย ... ตายละ ทำไงดี เที่ยงนี้มีประชุมซะด้วยสิ ....แต่ร่างกายฉัน มันไม่ไหวแล้ว หูอื้อ ปวดหู ปวดหัว ตุ้บ ๆ เขียนผิด ๆ ถูก ๆ ....ฉันจึงโทรไปบอกน้องว่า ฉันไปประชุมไม่ไหวแล้ว...ปวดฯลฯ เหลือเกิน
ขณะที่นั่งเขียนอยู่นี้ก็ยังคงรู้สึกอย่างนั้น แม้ว่าจะนอนหลับพักผ่อนไปแล้วประมาณ 2 ชั่วโมง ตอนนี้ก็ได้แต่รอเวลาคลินิคหมอเปิด (คงประมาณห้าโมงเย็นกว่าๆ) แล้วฉันจะรีบตรงดิ่งไปหาหมอทันที (คงรอถึง 4-5 วันอย่างที่หมอแนะนำไว้ไม่ไหวแล้วอะค่ะ).....
สาธุ ขออย่าให้ฉันเป็นอะไรไปมากกว่านี้เลย....