มะนาวหวานเคยใช้ชีวิตอยู่ในกทม.เกือบ 12 ปี ตั้งแต่อายุ 18 ตอนนั้นมะนาวหวานคิดว่ากรุงเทพ น่าจะเป็นที่ที่มะนาวหวานจะสร้างอนาคตให้ตัวเองได้ดีกว่าอยู่บ้าน(ต่างจังหวัด) เมื่อแรกเริ่มเข้ากรุง มีแต่สิ่งใหม่ๆที่มะนาวหวานต้องเรียนรู้ค่ะ เช่น การขึ้นรถเมล์ การโหนรถสองแถว การแก่งแย่งเพื่อให้ได้โอกาสของตัวเราเอง เพราะไม่มีใครที่ไหนหรอกค่ะ ที่เขาจะเสนอหรือหยิบยื่นโอกาสและน้ำใจให้เรามาง่ายๆ ในสังคมเมืองกรุงที่มีแต่ความแก่งแย่งกันเช่นนั้น มะนาวหวานกว่าจะก้าวมาเป็นตัวตนอย่างวันนี้ ใช่ว่าจะราบรื่นสบายหรอกค่ะ เกือบเอาตัวไม่รอดมาก็หลายครา มีอยู่ครั้งนึงค่ะ มะนาวหวานเพิ่งเริ่มเป็นเด็กขายของในห้างสรรพสินค้าย่านพระโขนง ตอนนั้นก็อายุประมาณ18-19 เองค่ะ เข้างาน 9.30 น. เลิกงาน สี่ทุ่ม กว่าจะถึงบ้าน(ที่ต้องอาศัยบ้านญาติแถวสวนหลวง) ก็ปาไปเกือบเที่ยงคืน เพราะต้องเดินลัดตลาดอ่อนนุช มาขึ้นรถสองแถวที่ท้ายตลาดอีก กว่ารถออกก็ต้องรอคนเต็มก่อน ถึงบ้านก็อาบน้ำ ซักผ้า แล้วก็เข้านอน ตื่นเช้า 6 โมง ก็รีบช่วยเขาทำงานบ้าน อาบน้ำแต่งตัวไปทำงาน เป็นวัฏจักรวนเวียนอยู่แบบนี้ มีอยู่วันนึงค่ะ เป็นวันที่มะนาวหวานขี้เกียจเดินอ้อมออกถนนใหญ่ เลยเดินลัดเข้าในตลาดอ่อนนุช (ที่เขาปิดร้านกันหมดแล้ว) เพราะเลิกงานดึกทุกวันนี่คะ ความเคยชินเลยทำให้เรามองข้ามความน่ากลัวของอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นกับเราไปได้ พอเดินมาเรื่อยๆ จวนจะถึงคิวรถแล้วล่ะ ก็รู้สึกมีคนเดินตามเรามา มะนาวหวานก็รีบซอยเท้าถี่ขึ้น เพื่อให้ถึงรถสองแถว แต่พอถึงมุมแยกในตลาด มาฉกจับก้นมะนาวหวานอย่างแม่นเหม็งเลยค่ะ(แหมขนาดไม่แต่งตัวโป๊เลยนะคะ) แต่โชคดีวันนั้นเป็นวันที่ประจำเดือนมาพอดีค่ะ มันเลยจับโดนแต่ม้าปีกขาวของมะนาวหวานไปซะ แต่เด็กสาวอายุ 18-19 เจอเหตุการณ์แบบนั้นก็สั่นเป็นลูกนกล่ะค่ะ คิดดูเถอะค่ะว่าถ้าหากมันฉุดและทำมิดีมิร้ายกับมะนาวหวาน ชีวิตมะนาวหวานจะเป็นอย่างไรก็ยังนึกภาพไม่ออกเลยค่ะ
ที่จริงก็จะไม่เขียนเรื่องอดีตแล้วน่ะค่ะ
แต่ก็อดไม่ได้
เพราะคิดว่าน่าจะมีอีกหลายชีวิตที่อาจจะเจอเหตุการณ์ที่น่าอันตรายแบบนี้
ขอบคุณค่ะที่เข้ามาร่วมเป็นแรงใจต้านภัยสังคมกันนะคะ
ตอนยังเรียนปี 2 พักอยู่ในเมือง แล้วคืนนั้นอากาศร้อนมากๆ ต้อมเลยออกไปเดินเล่นแถวคูเมืองเชียงใหม่เพื่อรับอากาศเย็นๆ (เกือบ 4 ทุ่ม) ปรากฏว่าเดินไปถึงแจ่งหัวรินก็สวนกับคนต่างด้าวคนหนึ่ง ท่าทางหลุกหลิกน่ากลัว ก็นึกในใจว่า "ซวยแล้ว" พยายามเร่งฝีเท้าไปให้พ้นจากตรงนั้น แล้วก็รู้สึกว่าอีตานั่นเดินตามมาโดยทิ้งระยะห่างไม่ไกลนัก พอต้อมหยุดเดิน เขาก็หยุด พอเร่งฝีเท้า เขาก็รีบเร่งเดินตาม หลุดจากมุมมืดนั้นได้..เขาก็ไม่หยุดตาม ใจต้อมนี่นะ..หล่นวูบ คิดแต่ว่าจะทำยังไง สมัยโน้น..ข้างคูเมืองก็จะเป็นที่วัยรุ่นมารวมตัวกันนั่งดื่มเบียร์ พอต้อมคิดว่าเอาล่ะวะ ต้องทำอะไรสักอย่าง ก็เดินข้ามถนนไปยังกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่ง (5-6 คน) แล้วบอกพวกเขาว่ามีคนเดินตามต้อม ตอนนี้เขายืนอยู่ฝั่งโน้น พี่ผู้ชายคนนั้นก็เลยวิ่งข้ามฝั่งไป แต่คนต่างด้าวคนนั้นคงจะรู้ตัวก็เลยรีบเดินหนีไป คิดดูสิ ต้อมไม่มีมือถือ ไม่มีเงินติดตัวเลย กะมาเดินเล่นจริงๆ จะทำยังไง "พี่คะ ขอยืมตังค์ 1 บาท จะโทรกลับหอค่ะ ให้เพื่อนมารับ"
สายป่านเส้นเล็ก
เดินทางรอนแรม
อ้างว้างโดดเดี่ยว
เหลียวมองไม่มีใคร
เดินทางลำพัง
สร้างฝันที่เธอวาดไว้
สายป่ายแห่งหัวใจ
อาจขาดได้หากต้านลมแรง
สายเอยสายป่าน
เธอจะขาด..ไม่ได้
ต้องเหนียวทนยืนหยัดต้านภัย
แล้วเธอจะได้สิ่งที่หวังและตั้งใจ
ขอเป็นกำลังใจให้สายป่านทุกเส้นค่ะ..
ตอนจบมัธยมจากโรงเรียนบ้านนอก ตั้งใจจะไปเรียนหนังสือแถวย่านหัวหมาก
แต่เอาเข้าจริง ๆ อยู่ได้ประมาณ 3 เดือน สู้ไม่ไหวครับ เราเคยชินกับการอยู่ ตจว. เดินไปไหนมาไหนได้สะดวก
พออยู่ กทม. ต้องต่อสู้กับสิ่งต่าง ๆ มากมาย
ออกบ้านตั้งแต่ ตี 4 ตี 5
กลับเข้าบ้าน 4 ทุ่ม ห้าทุ่ม
แย่งกันขึ้นรถเมล์
ใจไม่สู้ ไปอยู่ ตจว. ดีกว่า
ไม่มีที่ไหนปลอดภัย แม้แต่บ้านของเราเองค่ะ เพราะอันตรายมีทุกซอกมุมในสังคมรอบตัวเรานะคะ
สายป่านเส้นไหนที่อ่อนแรง
จงใช้สติให้มากกว่าอารมณ์
แล้วแรงพายุที่น่ากลัวก็จะผ่านพ้นไปด้วยดีค่ะ