ก้าวใหม่การรักษากระจกตาเสื่อมด้วยสเตมเซลล์


การรักษากระจกตาเสื่อมด้วยสเตมเซลล์
ก้าวใหม่การรักษากระจกตาเสื่อมด้วยสเตมเซลล์/รศ.พญ.ภิญนิตา ตันธุวนิตย์
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 24 เมษายน 2551 07:39 น.
       คอลัมน์สายตรงสุขภาพกับศิริราช
       รศ.พญ.ภิญนิตา ตันธุวนิตย์
       จักษุแพทย์

       
       กระจกตาปกติของคนเราจะใสและมีผิวเรียบ ทำให้สามารถมองเห็นได้ชัดเจน การที่กระจกตาสามารถคงความใสอยู่ได้นั้นขึ้นกับหลายปัจจัย ปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ คือ ผิวกระจกตา จะต้องไม่มีแผล ไม่มีเส้นเลือดรุกเข้ามา ตัวการสำคัญที่ทำหน้าที่นี้ คือ สเตมเซลล์ของผิวกระจกตา
       
       มารู้จักสเตมเซลล์ของผิวกระจกตา
       สเตมเซลล์ของผิวกระจกตา คือ เซลล์ที่ทำหน้าที่เปรียบเสมือนโรงงานคอยสร้างเซลล์ผิวกระจกตาขึ้นมาทดแทนเซลล์เก่าที่ตายไปตลอดเวลา ทำให้ผิวกระจกตาคงความใสและไม่เป็นแผล ตลอดจนทำหน้าที่เสมือนเขื่อนป้องกันไม่ให้เส้นเลือดจากเยื่อตาโตรุกเข้ามาในกระจกตาได้

ผู้ป่วยโรคสตีเวนส์ จอห์นสัน เป็นผู้ป่วยแรกในประเทศไทยที่ทำการรักษาด้วยการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ของผิวกระจกตาจาก รพ.ศิริราช ภาพ(1)หลังผ่าตัด 14 สัปดาห์ กระจกตาใสขึ้น เส้นเลือดที่ตาลดลงและสบายตาขึ้น ภาพที่(2) จำเป็นต้องผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตาอีกครั้งเพื่อการมองเห็น
       ผลเสียของสเตมเซลล์เสื่อมหรือตายไป
       หาก สเตมเซลล์ เสื่อมหรือตายไป จะเกิดภาวะผิวกระจกตาเสื่อม ซึ่งทำให้มีเส้นเลือดงอกเข้ามาในกระจกตา กระจกตาจะขุ่น ตามัวลง และมีแผลถลอกเกิดขึ้นบ่อยที่กระจกตา ซึ่งแผลอาจหายยากหรือไม่หาย ทำให้กระจกตาติดเชื้อได้ง่าย
       
       พบได้ในโรคใด
       ภาวะนี้พบได้ในโรคต้อเนื้อ โรคแพ้อย่างรุนแรง เช่น โรค Steven-Johnson รวมทั้งตาที่ได้รับอันตรายจากสารเคมี เช่น กรด-ด่างเข้าตา การติดเชื้อที่กระจกตา หรือตาที่ได้รับการผ่าตัดหลายๆ ครั้ง เป็นต้น
       
       การรักษาทำอย่างไรได้บ้าง
       ภาวะผิวกระจกตาเสื่อมนี้ เป็นภาวะที่รักษายาก หากเป็นน้อย อาจระวังไม่ให้เซลล์ที่เหลืออยู่ตายมากขึ้น โดยระมัดระวังในการใช้ยาหยอดตาและหยอดน้ำตาเทียมหล่อลื่นแทน
       
       หากเป็นรอบกระจกตา การรักษาจำเป็นต้องทำการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ของผิวกระจกตา ไม่สามารถใช้การผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตาตามปกติได้ เนื่องจากกระจกตาที่นำมาเปลี่ยนจะกลับขุ่นใหม่อย่างรวดเร็ว เพราะไม่มีสเตมเซลล์
       
       การปลูกถ่ายสเตมเซลล์ของผิวกระจกตา เราใช้สเตมเซลล์จากเนื้อเยื่อส่วนที่เป็นรอยต่อของตาดำกับตาขาวมาปลูกถ่ายโดยตรง ซึ่งเนื้อเยื่อที่ใช้ หากผู้ป่วยเป็นโรคในตาข้างเดียว และตาอีกข้างปกติอยู่ จะใช้เซลล์จากตาดีของผู้ป่วยปลูกถ่าย แต่หากเป็นโรคในตาทั้ง 2 ข้าง จำเป็นต้องใช้สเต็มเซลล์จากผู้อื่น ซึ่งอาจใช้จากญาติสายตรง หรือจากตาของผู้เสียชีวิตแล้วที่บริจาคไว้กับศูนย์ดวงตา
       
       ปัญหาที่พบบ่อย ในการปลูกถ่ายสเตมเซลล์
       จากการผ่าตัดปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ทั้ง 2 ชนิดนี้มากว่า 12 ปี ปัญหาการปลูกถ่ายสเตมเซลล์จากตาดีของผู้ป่วยเอง หรือจากญาติที่ยังมีชีวิตอยู่ เราพบว่าปริมาณเซลล์ที่นำมาจากตาข้างดีนั้นจะมีปริมาณน้อย เนื่องจากเกรงว่าจะก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นกับตาดีนั้น ดังนั้นเซลล์ที่ปลูกถ่ายจึงไม่เพียงพอที่จะป้องกันพังผืดที่จะรุกเข้ากระจกตาได้ในระยะยาว และในกรณีผู้ป่วยที่เป็นโรคในตาทั้ง 2 ข้างที่ต้องนำเซลล์ผู้อื่นมาปลูกถ่าย โอกาสเกิดปฏิกิริยาต่อต้านต่อสเตมเซลล์นั้นมีได้สูง เนื่องจากเซลล์ที่นำมาปลูกถ่ายมิใช่ของผู้ป่วยเอง จำเป็นต้องให้ยากดภูมิคุ้มกันรับประทานเป็นระยะเวลานาน หรือตลอดชีวิต ทำให้ผลการรักษาไม่ดีนักและเสี่ยงต่อผลข้างเคียงจากยากดภูมิสูง อาจเกิดการติดเชื้อได้ง่ายอีกทั้งยามีราคาสูงมาก

การเก็บเซลล์จากข้างดีมาใช้ในการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ จะเกิดแผลเพียงเล็กน้อย และหายในเวลา 3-4 วัน เหลือเพียงแผลเป็นจางๆ และไม่มีผลต่อการมองเห็น ภาพ(1)ก่อนผ่าตัด ภาพ(2)หลังผ่าตัด 5 สัปดาห์
       ทางเลือกใหม่ของการรักษา
       จากปัญหาดังกล่าว ปัจจุบันจึงมีการค้นคว้าหาวิธีใหม่ในการปลูกถ่ายสเตมเซลล์ของผิวกระจกตา โดยนำสเตมเซลล์ไปเพาะเลี้ยงในห้องปฏิบัติการก่อนนำไปปลูกถ่ายให้แก่ผู้ป่วยเพื่อเพิ่มจำนวนเซลล์ก่อนการปลูกถ่าย และลดโอกาสการเกิดปฏิกิริยาต่อต้านเนื้อเยื่อ ซึ่งวิธีนี้มีรายงานทางการแพทย์ว่า ในปี 1997 ประเทศอิตาลี เป็นประเทศแรกที่ใช้รักษา โดย Dr. Pellegrini ต่อมาวิธีนี้ได้รับความนิยมแพร่หลายมากขึ้นจนเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นประเทศอิตาลี ไต้หวัน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และอินเดียว่า เป็นมาตรฐานหนึ่งในการรักษาภาวะการเสื่อมของผิวกระจกตา โดยใช้ระยะเวลาในการติดตามผล 1-4 ปี พบว่าวิธีนี้ประสบความสำเร็จสูงถึง 75%
       
       การเลี้ยงสเตมเซลล์ จะนำเนื้อเยื่อบริเวณรอยต่อของตาดำและตาขาว ซึ่งมีสเต็มเซลล์อยู่ไปเลี้ยงบนเยื่อรกในห้องปฏิบัติการที่ปลอดเชื้อประมาณ 2-4 สัปดาห์ จากเซลล์ขนาด 2 X 2 มม. ให้โตเพิ่มปริมาณขึ้นเป็น 20 X 20 มม.จากนั้นจึงนำเยื่อรกที่มีสเต็มเซลล์อยู่บนผิวมาปลูกถ่ายกลับลงบนผิวกระจกตา
       
       ข้อดีของการเลี้ยงในห้องปฏิบัติการ ทำให้สามารถเพิ่มจำนวนเซลล์ก่อนการปลูกถ่ายให้เพียงพอแก่ความต้องการและคลุมผิวกระจกตาได้ทั้งหมด อีกทั้งลดอันตรายต่อตาข้างที่ดีของผู้ป่วย หรือญาติที่จะต้องนำสเต็มเซลล์มาใช้ เท่ากับเพิ่มโอกาสในการปลูกถ่ายโดยใช้เซลล์ของตนเองได้มากขึ้น ลดความเสี่ยงและลดงบประมาณในการใช้ยากดภูมิซึ่งมีราคาแพง นอกจากนี้ ในกรณีใช้สเตมเซลล์จากผู้อื่น ยังทำให้โอกาสการเกิดปฏิกิริยาต่อต้านต่ำกว่า และปริมาณการรับประทานยากดภูมิต้านทานก็น้อยกว่าการปลูกถ่ายสเตมเซลล์แบบดั้งเดิม เนื่องจากเซลล์ที่นำมาปลูกถ่ายมีเพียงเซลล์ผิวชั้นเดียวเท่านั้น
       
       ปัจจุบันคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล โดยความร่วมมือของภาควิชาจักษุวิทยา ภาควิชาวิทยาภูมิคุ้มกัน ภาควิชาพยาธิวิทยา และศูนย์เนื้อเยื่อชีวภาพกรุงเทพฯ ได้ทำการเพาะเลี้ยงสเตมเซลล์ของผิวกระจกตาในห้องปฎิบัติการบนเยื่อรกโดยวิธีปลอดเชื้อในห้องปฎิบัติการที่ได้มาตรฐานสูง โดยเซลล์ที่เพาะเลี้ยงได้นั้นมีการตรวจสอบพิสูจน์ทางพยาธิวิทยาว่าเป็นสเต็มเซลล์ของผิวกระจกตาจริงและได้ปลูกถ่ายกลับให้ผู้ป่วยแล้วเป็นผลสำเร็จทั้งสิ้น 5 ราย เป็นเซลล์จากผู้บริจาค 2 ราย เซลล์ของผู้ป่วยเอง 2 ราย และเซลล์จากญาติ 1 ราย ระยะเวลาติดตามผลเฉลี่ย 4 เดือน (1-6 เดือน) พบว่าหลังผ่าตัดเซลล์ผิวกระจกตาติดดีตั้งแต่วันแรกและ
       
       ยังคงสภาพอยู่ได้ไม่หลุดลอก เส้นเลือดที่กระจกตาลดลง การอักเสบในตาลดลง กระจกตาเริ่มใสขึ้นและการมองเห็นเริ่มดีขึ้น สำหรับผู้ป่วยที่เนื้อกระจกตาขุ่นในชั้นลึก หลังจากทำผ่าตัดปลูกถ่ายสเตมเซลล์แล้ว จะต้องทำการผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตาเพื่อการมองเห็นต่อไปในอนาคต เท่ากับเป็น การเตรียมความพร้อมและเพิ่มโอกาสให้การผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตาประสบความสำเร็จสูงขึ้น
       
       อย่างไรก็ตาม โอกาสการรักษาจะประสบความสำเร็จขึ้นกับสภาพดวงตาและโรคของผู้ป่วย ดังนั้นก่อนผ่าตัดจึงจำเป็นต้องคัดกรองผู้ป่วยที่มีสภาวะเหมาะสม อีกทั้งการรักษานี้ยังจำเป็นต้องมีการติดตามผลการรักษาในระยะยาวด้วย
       ------------------------------------------------------
คำสำคัญ (Tags): #กระจกตา
หมายเลขบันทึก: 179214เขียนเมื่อ 28 เมษายน 2008 14:34 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 23:47 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท