ทำไมพระพุทธองค์ทรงตรัสว่าสังขารไม่เที่ยงเพราะเหตุไฉนหนอ... ?


ธรรมะนำสุข.....

ทำไมพระพุทธองค์ทรงตรัสว่าสังขารไม่เที่ยง..................

            ช่วงสนทนาธรรมนำสุข JJJ  

                  ท่านทั้งหลายคงเคยได้ยินมาแล้วจนชินโสตประสาท  กับคำว่า    อนิจฺจา  วต  สงฺขารา    หมายถึง  สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง   ทำไมพระพุทธองค์จึงทรงตรัสว่า   สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงเล่า !  ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า  สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงเพราะ  มีเหตุเพียงแค่สังขารต้องแตกดับสลายไปเป็นธรรมดาแค่นั้นหรือ ?   ท่านทั้งหลายเคยคิดไหมว่า ........J......มันหน้าจะมีอะไรมากกว่านี้เพียงแค่    คำเตือนจากพระพุทธองค์เพียงเท่านี้จริงไหม ?  อาตมาว่ามาธรรมดาไปครับท่าน 

ในส่วนที่อาตมาคาดคิดไว้ตามที่พระพุทธองค์ทรงตรัสเตือนบอกกับพุทธบุตร    ทั้งหลายของพระพุทธองค์ว่าจงอย่าตั้งตนอยู่ในความประมาท  ดังนี้

            1. กาล (Time)  หมายถึง กาลเวลา ทุกวันคืน  ทุกชั่วโมงเวลาที่ยังมีลมหายใจเข้า   และ   ลมหายออก เป็นปกติ  ไม่ควรหยุดนิ่ง  รอคอยความตายอย่างไร้ค่า  เราควรหมั่นเจริญมรณะสติอยู่ตลอดเวลา   ว่าคนเราเกิดมา   ต้องเจ็บ  แก่   และตาย  นี่แหละมันถึงจะถูก  ที่บอกให้พิจารณาอย่านี้ไม่ใช่ว่าคนที่ทำจะเป็นคนแก่วัดแก่วานะท่าน    คนที่ทำแบบนี้  เขาเรียกว่า  เป็นคนฉลาดเป็นกรด หมายถึง  ผู้ที่มีแต่ความมั่นคงในหลักธรรมการดำเนินชีวิตต่างหาก

            2. วัย  ( old ) หมายถึง ไม่ชะร่าในวัยว่าอายุยังน้อย   ร่างกายยังไม่แก่   เนื้อหนังยังไม่เหี่ยว   สุขภาพยังแข็งแรง   เตะปี๊บยังดัง   ร่างกายยังฟีตปั๊ง   คำอะไรต่อมิอะไรต่างๆเหล่านี้  ที่แล้วแต่จะคิดกันไป

         อาตมาขอยกตัวอย่างแค่นี้แหละ  ขืนยกมากไปก็คงไม่มีใครทำหรอก     นี่แหละ    เหตุผลที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้เสมอๆกับพระสาวกของพระพุทธองค์ว่า     คนหลายมักเข้าใจในธรรมะของพระพุทธองค์ได้ยาก   แต่เข้าใจในสิ่งที่ไม่ใช่ธรรมได้ง่าย  เพราะฉะนั้นเวลาพระพุทธองค์จะไปโปรดท่านใดท่านนั้นจะต้องอยู่ในข่ายพระญาณของพระองค์ก่อน   เพราะพระองค์จะตั้งเพ่งตรวจดูจริตของคนนั้นว่าจะใช้อุปกรณ์ชนิดไหนไปช่วย  เป็นต้น

ช่วงเกาะติดสถานการณ์PPP

           คนอินเดียยามมีชีวิตอยู่ต่างก็ทำงานกันอย่างหามรุ่งหามค่ำดูเหมือนว่าตนเองเกิดมา   เพื่อทำงานหาเงินเลี้ยงลูกแค่นั้น    กินก็แสนจะประหยัดอดออม   ขนาดอดและออมนะยังแทบแย่เลย   นี่หรือคือ  วิบากกรรมของมนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์โลก   แต่ที่หนักยิ่งกว่านั้นอีก    เมื่อคนตายแล้วมองดูแล้วรู้สึกไร้ค่าจริงๆเลย 

B     อ้าว! ทำไมถึงกล่าวอย่างนี้ล่ะ ?

             ที่ต้องกล่าวอย่างนี้เพราะดูพวกเขาทำพิธีแบบว่าบุคคลนั้นเหมือนไม่ค่อยมีค่าเท่าไหร่อย่างงัยอย่างงั้นนั่นแหละ   เวลาคนอินเดียตายเขาก็จะมี  4 คนหาม  หามไปยังริมแม่น้ำนั่นแหละ   ไม่ใช่ไปทิ้งริมน้ำนะ   แต่นำไปเผาริมน้ำครับท่าน  

  ภาพนี้นำศพไปเผาริมแม่น้ำกกุธารนที  ใกล้ตลาดกาเซีย  เมืองกุสินารา

X

นี่แหละ  ! ที่พระพุทธองค์ทรงเตือนอย่าหนักแก่พุทธบุตรทุกเช้าค่ำ    ว่าหมั่นเร่งประพฤติธรรม  เพราะบุคคลที่ประพฤติธรรมมีธรรมอยู่ในใจเมื่อสังขารแตกดับสลายไปจิตย่อมไปสู่สุขติภูมิโลกสวรรค์ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดให้มันน่าสมเพทเวทนาอยู่ในลักษณะแบบที่คนอินเดียหลายคนกำลังเผชิญอยู่   คือ  ยามฤดูหนาวก็หนาวแสนจะทุรนทุราย   สถานที่คลายหนาวยามย่ำค่ำต้องไปนอนกับวัวควาย    ยามฝนตก  ก็แสนจะลำบากเพราะบ้านส่วนใหญ่เป็นประเภทหลังคามุมใบอ้อย   ตัวบ้านเคลือบไปด้วยดินเหนียวรมควันให้มันจับตัวเฉยๆ    อาตมาเคยตั้งข้อสันนิษฐานว่านี่หรือคือมนุษย์  

              ชั่วโมงสรุปสาระนำทัวร์ท่องธรรมนำสุข   พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า       กรรมของสัตว์โลกย่อมหมุนไปตามวงล้อแห่งธรรม    บุคคลทำกรรมสิ่งใดย่อมได้รับผลอย่างนั้น   กรรมกับบุญอยู่กันคนละส่วน   แต่ทุกอย่างมันย่อมแสดงผลเสมอกันแต่ขึ้นอยู่กับผลไหนมากกว่า

                       ช่วงสอบถามถึงพิธีกรรมของการเผาศพ

Z

ขั้นตอนก่อนเผาศพอาตมาได้สอบถามคนอินเดียว่าจะต้องประกอบพิธีกรรมอะไรบ้าง?

เขาตอบว่าไม่ต้องมีอะไรเลย  แค่นำศพลงไปข้างริมแม่น้ำแล้วก็วักน้ำพรมนิดหน่อย    หลังจากนั้นก็เผาได้แล้ว    พิธีก็มีแค่นี้แหละ

      แรกอาตมาก็ยืนสงสัยอยู่ครู่หนึ่งว่าอะไรกันเนี่ยทำไมง่ายจัง   หลังจากพวกเขานำน้ำวักพรมให้ศพเสร็จแล้วอาตมา   ก็ถือโอกาสสงเคราะห์สวดกุสลาธัมมาให้ศพเลย    

      อาตมาถามต่อว่าทำไมต้องวักน้ำมาพรมที่ศพด้วย

      พวกเขาตอบว่าน้ำนี้เป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ เมื่อพรมแล้วดวงวิญญาณจะได้ขึ้นสวรรค์    โอ้แม่เจ้าดีจังนะเนี่ยไม่ต้องทำบุญแค่ใช้น้ำพรมก็ส่งวิญญาณได้ขึ้นสวรรค์แล้ว

หมายเลขบันทึก: 179098เขียนเมื่อ 27 เมษายน 2008 23:48 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 18:59 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

เจริญพรจากผู้เขียนสู่ผู้อ่าน

นี่คือพิธีสุดประหยัดในการใช้บริหารศพ

นะมัสการครับ

ในเรื่องความไม่เที่ยงนั้น ผมคิดว่ามนุษย์เรารู้กันทุกคน แค่ด้วยอุปาทานนั้นเองที่ทำให้อยากจะทำให้มันเที่ยงให้นานที่สุด เท่าที่จะนานได้

ด้วยการใช้สติปัญญา พยายามเอาชนะกฏธรรมชาติ ถึงกับมีคำว่า ไม่มีอะไรที่มนุษย์ทำไม่ได้

เป็นความแตกต่างระหว่างสังคมมนุษย์ที่มาจากหลายองค์ประกอบครับ

ไม่มีอะไรผิดถูกเพราะเป็นวิถีที่เหมาะกับสังคมนั้นๆ

สิ่งที่ผมคิดว่าดีที่สุด ก็คือทางสายกลาง ของทุกสังคม

สำหรับไทยก็คงไม่ต้องหันกลับไปวิถีดั่งเดิม แต่ปรับให้อยู่บนทางสายกลาง

ซึ่งทางออกของสังคมไทยนั้น ผมเชื่อมั่นว่าแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดแล้ว

โดยเฉพาะคำที่ว่า 2 เงื่อนไข คือความรู้ คู่คุณธรรม

นะมัสการครับ

เจริญพร : ท่านพลเดช วรฉัตร

สิ่งที่ท่านกล่าวมาก็ถูกต้องแล้วครับ เราไม่จำเป็นที่จะลอกเลียนตามแบบใคร แต่บางสิ่งที่ดีของเขาเราควรนำมาประยุกต์ใช้เป็นของเราได้ครับ

อย่างไรก็ตาม อาตมารู้สึกประทับใจ และซาบซึ้งใจกับประเทศไทยของพวกเรา ที่มีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่เป็นประดุจพ่อหลวงอยู่ในดวงใจของทุกคน พระองค์มิใช่อยู่แต่ในใจเฉพาะคนไทยเท่านั้น แต่พระองค์อยู่ในดวงใจของประชาชนคนทั้งโลกเลยก็ว่าได้ พระองค์เป็นผู้ประเสริฐสุด เป็นผู้เลิศที่สุด ไม่มีสิ่งใดจะมาเปรียบพระองค์ได้เลย ที่กล่าวอย่างนี้เพราะพระองค์ช่วยเหลือทุกคนไม่จำกัดชาติ ศาสนา

ถ้าท่านใดได้มาเห็นเมืองอินเดียแล้วท่านจะเข้าใจมากเกินกว่าที่ท่านจะพรรณนาถึงคำว่า ผู้ทรงคุณธรรม

นี่แหละที่อาตมาขอทำงานเพื่อช่วยเหลือพระองค์ท่านตราบเท่าชีวิตของอาตมาจะมีลมหายใจอยู่

เจริญพร

ผมชอบอ่านมากครับ เรื่องแบบนี้ แต่ก็ไม่เยอะจนเกินไปนัก ซึ่งที่ท่านเขียนนั้นคตทั่วไปกำลังอ่านได้พอดิบพอดี

แต่อยากให้ใช้ font ขนาดปรกติน่าจะดีกว่าครับ เพราะมันจะทำให้อ่านง่ายขึ้น ไม่พาลเบื่อเสียก่อน นี้คือจิตวิทยาการเขียนอย่างหนึ่งครับผม

แล้วผมจะเข้ามาติดตามอ่านตลอดเลยครับ

เจริญพร : คุณโยม วาทิน ศานติ์ สันติ

อย่างไรก็ตามเมื่อคุณโยมอ่านแล้วช่วยติชมเยอะๆนะท่าน ถ้าอาตมาเขียนสำนวนตรงไหนยังไม่ถูกใจโยม สามารถเสนอแนะได้ครับคุณโยม

อาตมาเป็นพระนักเขียนมือใหม่ แต่หัวใจที่เขียนไม่ใหม่ตามประสบการณ์

อาตมามีความปรารถนาอยากให้คนไทยทุกคนได้เข้าใจถึงหลักความจริงแห่งสัจธรรม ว่าการเกิดมาบนโลกใบนี้ให้ทั้งสุข และ ทุกข์ เหมือนดังคำที่พระพุทธองค์ทรงตรัสเตือนไว้

เสมอๆมา

เจริญพร ท่าน

นมัสการพระคุณเจ้า

พิธีศพของคนอินเดียเรียบง่าย เหมือนไม่อาลัยใยดี หลังจากเผา กระดูกก็ไม่ได้เก็บ ปล่อยให้วัวควาย เตะ คลุกเคล้า สลายไปกับฝุ่นดิน ยังประโยชน์ให้แก่ พืชผักต่อไป วัฏฏจักรที่แท้จริง

แต่ในเรื่องจิตใจนั้น คนอินเดียมิได้แตกต่างจากชาติใดเลย โยมได้อยู่ที่คลินิก มีคนไข้มาด้วยอาการซึมเศร้า เห็นหมอพูดคุยอยู่นาน แล้วก็กลับไป จึงได้รู้ว่า ญาติเขาเสียชีวิต มีอาการเศร้าโศก ทุกข์ใจแสนสาหัสมาก จนต้องมาพึ่งหมอ

ขอเพิ่มเติมให้บันทึกนี้ แด่อินเดียที่จากมาค่ะ

เจริญพร: คุณหมอบุญรุ่ง ตันติราพันธ์

คุณหมอจะเห็นและเข้าใจทุกอย่างเหมือนที่อาตมาเข้าใจเลย เพราะอาตมาพาโยมไปดูมาหมอแล้ว เห็นแล้วเป็นอย่างไรบ้าง รู้สึกปลงดีไหม

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท