เราตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตอนตีสามครึ่ง พอเสียงมือถือดังทุกคนก็เงียบแบบว่าไม่มีใครอยากจะลุกจากการนอนกันเลย กำลังหลับสบายไม่อยากตื่น ถึงแม้ว่าจะนอนบนพื้นธรรมดา ยุงก็เยอะ แต่อากาศเย็นสบาย และเป็นเวลาที่ปกติพวกเราไม่ได้ตื่นนอนกัน แต่เราก็ลุกขึ้นเปิดไฟ โชคดีนะที่เราปฏิบัติธรรมกับน้องพริมมาเยอะ (เลี้ยงน้องพริมเองค่ะ ตอนเค้าเล็กๆเค้าก็จะตื่นบ่อยตอนตี 2 ตี 3) ทำให้เราลุกขึ้นได้ทันที พวกเราก็เลยลุกขึ้นเก็บที่นอนแล้วก็ไปล้างหน้า แปรงฟัน อาบน้ำกัน พอถึงเวลาตีสามสี่สิบห้า เสียงฆ้องก็ดังขึ้น พระท่านตีฆ้องปลุกทุกคนให้ตื่นนอนแล้วเตรียมตัวทำวัตรเช้ากัน
ก่อนตีสี่พวกเราก็เตรียมตัวเสร็จแล้วก็พากันเดินไปที่ศาลายาวกัน ห่างจากที่พักพอสมควร ไปถึงก็จัดสถานที่ เอาเส่อมาปู เอาอาสนะและหยิบหนังสือสวดมนต์มาวางให้เท่ากับผู้ปฏิบัติธรรม พอได้เวลาพระท่านก็มานำสวดมนต์กันหลายรูป สวดมนต์จนถึงตี5 แล้วจึงปฏิบัติกรรมฐานต่อ นั่งสมาธิ เดินจงจรม จนถึง 6 โมงเช้า จึงสวดแผ่เมตตาและกรวดน้ำ ทำความสะอาดสถานที่ แล้วก็แยกย้ายไปพักผ่อนที่กุฏิหรือใครจะปฏิบัติธรรมต่อก็ได้ ส่วนพระท่านก็ออกบิณฑบาตร จนถึง 7 โมงเช้า พวกเราก็มาเตรียมสถานที่รับประทานอาหารเช้ากัน จัดโต็ะวางอาหาร เอาอาหารที่พระท่านบิณฑบาตรได้แกะใส่จานไว้ ช่วยแม่ครัว (พี่อ้อย) ยกอาหารมา ที่วัดนี้แม่ครัวจะทำอาหารมาถวายพระด้วยทุกมื้อ เพราะมีผู้มาปฏิบัติธรรมด้วย อาหารจากการบิณฑบาตรไม่พอเลี้ยงพระและแม่ชีทั้งหลาย ตอนเช้าจะเป็นพวกข้าวต้มต่างๆ พอได้เวลาพระท่านก็ลงมา พวกเราก็ประเคนอาหารเช้ากัน พอพระท่านตักอาหารเสร็จ พวกเราก็เข้าแถวไปตักอาหาร ตักเสร็จก็สวดมนต์ก่อนทานอาหาร แล้วค่อยพิจารณาทานอาหารกัน ทานอาหารเสร็จก็เก็บโต๊ะ แล้วไปล้างชามกันที่ครัว เสร็จแล้วพวกเราก็กลับกุฎิไปพักผ่อนกัน ประมาณ 8 โมงครึ่ง เราจะไปปฏิบัติธรรมกันต่อ
ด้วยความง่วง เพราะพวกเรายังปรับเวลาการนอนการตื่นเช้าๆแบบนี้ไม่ได้ก็เลยนอนกันต่อ พอถึงเวลาก็อาบน้ำ ไปปฏิบัติกรรมฐานกัน เช้านี้นุ้ยชวนให้ไปปฏิบัติที่ศาลาพระอุปคุต เพราะอยู่ใกล้ อากาศดีและคนก็น้อยกว่าศาลายาว เราก็ไป
ที่ศาลาพระอุปคุต จะมีป้ายติดไว้ก่อนเดินเข้าไปว่า “ห้ามดื่มสุรา ห้ามพรอดรัก ห้ามใส่ชุดดำ นับแต่นี้จะเกิดอันตราย” เราอ่านแล้วก็เข้าใจนะ สองข้อแรก แต่ข้อที่สามนี่สิไม่เข้าใจแฮะว่าทำไมต้องห้ามใส่ชุดดำ ถามนุ้ยๆก็ไม่รู้ เราก็เลยเก็บความสงสัยไว้ แล้วก็นั่งกรรมฐานกัน
พอถึงเวลา 10 โมง พวกเราก็เตรียมตัวไปที่ศาลายาวกัน พระท่านกำลังนำแผ่เมตตา กรวดน้ำในการปฏิบัติกรรมฐานช่วงสายๆ เราก็เข้าไปสวดแผ่เมตตาและกรวดน้ำด้วย เสร็จแล้วก็เตรียมสถานที่ฉันเพลพระ ช่วยยกอาหารจากในครัว ซึ่งพี่อ้อยจำอาหารมื้อละ 2 อย่าง และหุงข้าวไว้ให้ด้วยเราช่วยจัดโต๊ะอาหาร มีญาติโยมนำอาหารมาถวายพระเราก็ช่วยจัด ช่วยเตรียม อาหารเยอะมาก พอได้เวลา 10 โมงครึ่ง พระท่านก็ลงมาที่ศาลายาวกัน ที่วัดมีพระประมาณ 12 – 14 รูป บางวันก็เยอะกว่านี้ถ้ามีพระจากที่อื่นมา บางวันก็น้อยกว่านี้ถ้าท่านรับกิจนิมนต์ไปฉันที่อื่น วันนี้หลวงพ่อก็ลงฉันเพลด้วย
เนื่องจากวัดนี้เป็นวัดป่า พระที่วัดนี้จะฉันอาหารในบาตร ทั้งอาหารคาวหวาน พระแต่ละรูปจะนำบาตรของท่านมา ตักอาหารเสร็จแล้วก็นั่งประจำที่ ท่านก็ให้ผู้มาปฏิบัติธรรมถือศีล 8 ไปตักอาหารใส่ถาดหลุม เสร็จแล้วกลับมานั่งที่ แล้วก็สวดถวายสังฆทาน (ในกรณีที่โยมเอาของมาถวาย) สวดมนต์ให้พรโยม สวดพิจารณาอาหาร ก่อนที่พวกเราจะทานอาหารกัน ช่วงที่เราทานอาหาร ท่านก็ให้โยมทั้งหลายไปตักอาหารมารับประทานกัน พอทานอาหารเสร็จพระท่านกราบพระแล้วลุกไป ใครมีธุระอะไรกับหลวงพ่อก็ตามไปคุย พวกเราก็๋จะเก็บสถานที่ เก็บอาหาร ล้างชามกัน
พวกเรากลับมาพักผ่อนที่กุฏิกัน อากาศร้อนมาก ช่วงหน้าร้อนด้วย ต้องพกน้ำติดตัวไว้ดื่มเลยล่ะ อยู่ที่วัดได้ทานน้ำเยอะมาก ก็ดีกับสุขภาพนะคะ เรากับพรก็ซักผ้าหน้ากุฏิ ที่วัดมีชุดขาวไว้ให้สำหรับคนที่ไม่มี แต่เราเอามาเอง เตรียมมาแค่ 4 ชุด ต้องซักตากด้วย ซักเสร็จแล้วเราก็อาบน้ำเปลี่ยนชุดขาว อากาศร้อนมาก เหงื่อออกมาท่วมตัวเลย ถึงมีพัดลมก็เอาไม่อยู่ พัดลมก็พัดลมร้อนเข้ามา ทำไมเราถึงทนอากาศร้อนได้รู้ไหม ก็ถ้าร้อนมากๆก็บอกตัวเองเลยว่า “ร้อนใดเล่า จะร้อนเท่าไฟในนรก” ถ้าประมาท กลัวลำบาก กลัวร้อนไม่ยอมมาปฏิบัติธรรม อยู่ในกิเลส ตัณหา วันนึงพลาดพลั้งไปทำกรรมไม่ดีไว้ ได้ตกนรกแน่ คราวนี้แหละร้อนกว่านี้อีก
สำหรับเพื่อนๆที่กลัวร้อน ไม่ต้องกลัวนะคะ ที่วัดมีพัดลมค่ะ ถ้าร้อนมากก็ไปอาบน้ำ ที่วัดไม่ได้กำหนดว่าให้อาบน้ำเวลาไหน อาบได้วันละกี่ครั้ง แล้วแต่สะดวกค่ะ ตามสบาย ไปอาบได้เลยค่ะ เพื่อนๆ (ไว้ค่อยชำระหนี้สงฆ์ก่อนกลับนะคะ) ถึงแม้ว่าอาบน้ำเสร็จแล้วยังไม่ทันออกจากห้องน้ำเลยเหงื่อก็ออกแล้ว ก็ยังดีกว่าไม่อาบค่ะ ไม่งั้นนั่งกรรมฐานไม่สงบแน่ เพราะเหม็นเหงื่อตัวเอง
ช่วงบ่ายพวกเราก็ไปปฏิบัติกรรมฐานกันที่ศาลายาว เค้าเริ่มปฏิบัติกันตอนบ่ายโมง แต่พวกเราอู้ค่ะ นุ้ยบอกว่าหลวงพ่อท่านบอกได้ว่าเด็กเป็นยังไง ให้ท่านดูรูปน้องพริมที่มือถือก็ได้ ลองถามท่านดู เราก็ไปสิ เห็นคนมาไหว้ มาคุยกับหลวงพ่อเราก็เลยแวะไปกราบท่าน ได้คุยกับท่านนิดหน่อย ท่านก็ทักว่าเด็กคนนี้ไม่เบา แล้วก็คุยเรื่องอื่นต่อ เราก็รู้สึกว่าที่ท่านตอบเป็นคำตอบกลางๆที่พระทั่วไปเค้าก็ตอบกัน แต่พรน่ะเค้าบอกว่าที่หลวงพ่อพูดน่ะ โดนเค้าไปเต็มๆ (อืม..ยังไงแน่)
ประมาณบ่ายสองพวกเราถึงไปปฏิบัติกรรมฐาน ที่ศาลายาวก็มีลมพัดเช้ามาตลอด แต่เพราะว่าอากาศร้อน ลมที่พัดมาก็เลยเป็นลมร้อนค่ะ พวกเราก็ตั้งใจปฏิบัติกรรมฐานกันต่อ ที่นี่จะมีพระอาจารย์คอยสอนกรรมฐานและปฏิบัติกรรมฐานร่วมกับพวกเราอยู่ตลอด เราสงสัยอะไร ไม่แน่ใจ ไม่เข้าใจตรงไหนก็ไปถามพระอาจารย์ท่านได้ ท่านจะคอยชี้แนะตลอด
วันนี้เรานั่งสมาธิได้น่าพอใจ พองหนอ ยุบหนอชัดเจนขึ้น ไม่มีอาการง่วงนอน หลับตาผงกหัว แต่ความคิดฟุ้งซ่านยังอยู่ และความเจ็บปวดที่ขาก็ยังอยู่ ใครที่เคยนั่งสมาธิจะรู้ว่าเวลานั่งจะปวดขา จะเป็นเหน็บชา แต่ของเราไม่เหน็บชานะ มันปวดขาเลยแหละ ค่อยๆปวดจากข้อเท้าลามมาที่ข้อเข่า ปวดมากๆ พออดทนสู้ไม่ไหวก็ออกจากสมาธิเลย ถึงแม้ว่าก่อนมาจะอ่านหนังสือทุกขเวทนา ของพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก มาแล้ว รู้แล้วว่าจะเจอความเจ็บปวด เจอความทุกข์ในสมาธิ รู้ว่าต้องอดทน รู้ว่าต้องแลกความเจ็บปวดกับความตาย เพื่อที่จะได้สมาธิที่ก้าวหน้าขึ้นไป แต่ก็ทนไม่ไหวสักที หนีออกมาตลอด เฮ้อ! พอลืมตาขึ้นมามองทางซ้ายนุ้ยก็ยังนั่งนิ่ง มองทางขวาพรก็ยังนั่งนิ่ง เราก็เลยสู้ต่อ นั่งสมาธิต่อไปอีก ทนไม่ไหวก็ออกมาขยับขาให้คลายความปวด แล้วก็นั่งต่อ จนหมดเวลาก็สวดมนต์แผ่เมตตา กรวดน้ำกัน อากาศร้อนมาก เก็บกวาดศาลาเสร็จแล้วก็กลับไปพักผ่อนที่กุฏิ อาบน้ำ ทานนมกัน เตรียมตัวไปทำวัตรเย็น
มีสไบสีขาวเป็นสไบถักอยู่ผืนหนึ่ง แขวนไว้ที่ไม้แขวนข้างๆ ประตูตรงหัวนอนเรา ด้วยความสงสัยเราก็เลยถามว่านี่ของใครน่ะ ปรากฏว่า พวกเรา 3 คน ไม่มีใครเป็นเจ้าของ เราก็อึ้งน่ะสิ ของใครเนี่ย เราได้แต่มองตานุ้ย แต่ก้ไม่ได้พูดอะไร เราว่านุ้ยคงรู้สึกเหมือนเราแต่ก็พยายามไม่คิดอะไร ส่วนพรไม่ค่อยรู้เรื่องหรือไม่ค่อยคิดมากก็เลยไม่ต้องเครียดเรื่องนี้ แต่เครียดเรื่องที่จะกลับแทน เพราะกลัวไม่มีรถ กลับออกไปจากวัดไม่ได้ ส่วนเรานี่ล่ะเครียดเลย เพราะไปสรุปว่าน่าจะเป็นของอ.นัทนะ เพราะกุฏินี่แม่ชีบอกว่าตั้งแต่อาจารย์เค้าไป ยังไม่มีใครมาอยู่เลย เราเป็นพวกคิดมากอยู่แล้วก็เลยหนาวๆร้อนๆไปเลยล่ะ
พอได้เวลาทำวัตรเย็นก็เดินไปสวดมนต์ นั่งสมาธิกัน พระอาจารย์ที่นำสวดมนต์ ชื่อ สมจิตร ท่านนำสวดมนต์ได้ไพเราะมาก สวดช้าๆ เนิบๆ เย็นๆ ชัดถ้อยชัดคำ ฟังเสียงสวดแล้วใจก็เป็นสมาธิดี แต่ถ้าใครไม่ชอบ หรือสวดมนต์เสียงเบาๆ อาจจะเบื่อหรือหลับได้นะ สวดเสร็จพวกเราก็ปฏิบัติกรรมฐานกันต่อถึง 2 ทุ่มครึ่ง เราต้องต่อสู้กับจิตใจอาฆาตแค้น ที่อยากจะตบยุงเหลือเกิน (มีเจตนาฆ่าแบบประสงค์ต่อผล) แบบว่ากำลังได้สมาธิดีๆ ยุงก็มากัดให้เจ็บๆคันๆจนทนไม่ได้ ต้องออกจากสมาธิมาเกา มันกัดทะลุเสื้อผ้า กัดหน้าตาเลยนะ ขนาดทายาแล้วนะ แหม..มันน่าตบนัก อดทนจนหมดเวลา สวดมนต์แผ่เมตตา กรวดน้ำให้ญาติทั้งหมาย เทวดาทั้งหลาย เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย สรรพสัตว์ทั้งหลาย เสร็จแล้วก็กลับไปพักผ่อน อาบน้ำเตรียมตัวนอนกัน
เราเตรียมถุงนอนมาด้วย ถึงอากาศจะร้อน แต่ถุงนอนก็กันยุงกันแมลงได้ดี (แต่มันก็ย้ายมากัดหน้ากัดตาเราแทน ฮ่าๆ ) ก่อนมาเราเป็นหวัดยังไม่หายเวลานั่งสมาธิก็จามตลอด (เกรงใจคนอื่นเหมือนกัน) เวลานอนก็จะแน่นๆจมูก มีน้ำมูกข้นๆ ต้องสั่งน้ำมูกเสียงดังเลย (สงสารเพื่อนๆเนอะ) เราเอายาแก้แพ้อากาศแบบไม่ง่วงมา เพราะตั้งใจมาปฏิบัติ ถ้าง่วงคงปฏิบัติได้ไม่ถึงไหนแน่ แต่ก็ลืมยาแก้แพ้เม็ดสีเหลืองมากินก่อนนอน เวลานอนก็เลยลำบากหน่อย นอนไม่ค่อยหลับ เป็นหวัด แปลกที่ แล้วก็กลัวนู่นกลัวนี่ด้วย ยิ่งกุฎิอยู่ริมน้ำ เวลานอนก็ก็จะได้ยินเสียงปลาฮุปน้ำดังโครมๆ (สงสัยปลามันจะตัวใหญ่นะ) ยุงก็เยอะ ขนาดมีมุ้งลวดนะ แต่ก็นอนได้นะถึงเวลาก็หลับแหละ
ใจเย็นๆนะคะเพื่อนๆนี่ยังคืนที่สองนะ เรายังมีอะไรสนุกๆ น่าตื่นเต้นจะเล่าให้ฟังมากกว่านี้ ต้องติดตามตอนต่อไปนะคะ
แหม่ ไปอย่างนี้น่าสนุกออก
อิจฉาคนมีเวลาว่างจังเลย
น้องโจ้ไม่ค่อยมีเวลาว่างเลย
ช่วงนี้กำลังติวเข้ม
ไว้โอกาสหน้าละกันจะพยายามไปให้ได้เลย