“ครูเอาหนูมั้ยคะ” เสียงของเด็กสาวตะโกนอยู่หน้าบ้านพักของ “กวิน” ครูหนุ่มบรรจุใหม่ที่กำลังตื่นนอนในตอนเช้าวันศุกร์สุดสัปดาห์แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับจากเขาที่กำลังอยู่ในอาการสะลึมสะลือ และแล้วเจ้าของเสียงก็ส่งสัญญาณอีกครั้ง “ครูเอาหนูมั้ยคะ แม่ให้มาถาม 50 บาทเองคะ” ไม่ผิดแน่แล้วเป็นเสียงของเด็กนักเรียนหญิงในห้องที่เขารับผิดชอบสอนในชั้น ป.4 แต่อายุอยู่ในวัยที่ทำบัตรประชาชนแล้ว ซึ่งประโยคที่ทำให้ “กวิน” คิดหนักและแปลกใจคือ ประโยคที่ว่า “แม่ให้มาถาม” แล้วก็ “50 บาทเองคะ” มันเกิดอะไรขึ้นในชุมชนที่นี่กันนะ? คำถามแรกที่ผุดขึ้นในสมองของครูหนุ่มก่อนที่จะตอบสวนผ่านประตูออกไปว่า “ยัง ๆ เดี๋ยวครูจะรีบไปสอน ครูอาบน้ำก่อนนะเธอก็รีบไปโรงเรียนได้แล้ว” ในขณะอาบน้ำเขาก็นึกถึง “หนู”ไปด้วย...หลังจากที่เคารพธงชาติเรียบร้อยแล้วเด็กหญิงคนเดิมก็ถามซ้ำในช่วงที่เดินสวนกัน “ครูชอบหนูมั้ยคะ” แต่ไม่มีคำตอบใด ๆ จากครูหนุ่มนอกจากสายตาที่มองเด็กหญิงตั้งแต่หัวจรดเท้าและเขาเองก็เพิ่งสังเกตว่าลูกศิษย์ของเขาเป็นสาวเกินกว่าจะเชื่อว่าเรียนอยู่ชั้น ป.4 จริง ๆ “เธอเข้าห้องเรียนไปก่อน กลางวันค่อยมาถามครูอีกที มาตอนที่ครูคนอื่นไม่อยู่นะ” กวินย้ำเด็กหญิงก่อนที่จะเดินไปเตรียมตัวสอน ช่วงระหว่างวันครูแต่ละคนก็จะรีบเคลียร์งานเพื่อที่จะเตรียมตัวกลับบ้านในตัวเมือง แต่ในสัปดาห์นี้เป็นเวรของ “นรา”เพื่อนครูหนุ่มที่มีแฟนสาวท้องแก่และใกล้จะคลอด “กูเป็นห่วงแฟนหว่ะ” เสียงของนราเปรยๆ ให้กวินฟัง แต่ก็ไม่ได้รับการโต้ตอบใด ๆ จากกวินเนื่องจากเขาก็เร่งเคลียร์งานเพื่อที่จะได้รีบกลับไปหาแฟนสาวที่กำลังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยชื่อดัง ในช่วงพักเที่ยงขณะที่เขากำลังวุ่น ๆ เสียงเดิมที่คุ้นหูได้ดังขึ้นอีกพร้อมกับการปรากฏตัวของเจ้าของเสียงนั่น “ครูจะเอาหนูเมื่อไหร่คะ” กวินเงียบซักพักพร้อมกับครุ่นคิดถึงจิตวิญญาณครูที่ร่ำเรียนมาความสับสนและว้าวุ่นยังผลให้เขาต้องปฏิเสธเด็กหญิงแบบขอไปที “ตอนโรงเรียนใกล้จะเลิกมาหาครูอีกครั้งหนึ่งก็แล้วกัน ว่าแต่เท่าไหร่นะ 50 บาทเหรอที่บอกไว้” “ค่ะ” เด็กหญิงตอบสั้น ๆ ก่อนที่จะไหว้ทำความเคารพแล้วออกจากห้องพักครูไป ทิ้งให้เขาครุ่นคิดและติดอยู่กับความรู้สึก 2 ฝั่งอารมณ์ ฝั่งหนึ่งคือหน้าที่ จรรยาบรรณความเป็นครู แต่ฝั่งหนึ่งเขาเป็นเพศชาย แถมกำลังอยู่ในวัยหนุ่ม กำลังคึกดังม้าศึก ในที่สุดบ่ายสามโรงเรียนใกล้จะเลิกเขาตัดสินใจบอกกับ “นรา” ว่า “ข้าเข้าใจความรู้สึกเอ็งที่แฟนกำลังท้อง แถมเอ็งยังต้องอยู่เวรเสาร์อาทิตย์อีก เอางี้ละกัน ข้าอยู่เวรแทนเองเพราะไหน ๆ ก็ต้องทำแผนการสอนอยู่แล้ว เลยกะว่าอาทิตย์นี้จะทำแผนให้เสร็จ” “ขอบใจเอ็งมาก ไว้คราวหน้าจะอยู่แทนว่าแต่มีกับข้าวที่จะกินวันเสาร์-อาทิตย์หรือยังในตู้กับข้าวพอมีน้ำพริกกับมาม่าเหลือนิดหน่อย” เพื่อนครูหนุ่มกล่าวกับเขาพร้อมกับเร่งงานให้เสร็จโดยเร็ว และเมื่อถึงเวลาเลิกเรียนเด็กหญิงคนเดิมก็เดินมาหาเขาที่ห้องพักครูพร้อมกับเอ่ยเบาๆ “ครูจะเอาหนูที่ไหนคะ” “อืม....เอางี้ละกันที่บ้านครูก็แล้วกันเพราะครูคนอื่นกลับบ้านกันหมด พอตะวันใกล้จะตกดินมาหาครูที่บ้าน.....อย่าให้ใครเห็นนะ! ” ครูหนุ่มกำชับเด็กหญิงด้วยเสียงหนักแน่นแถมยังกำชับอีกรอบว่า “ล้างมาด้วยให้สะอาด ๆ นะ” เด็กหญิงพยักหน้าพร้อมกับถามด้วยเสียงใส ๆ “ครูจะให้เอาขนออกมั้ยคะ” “อืม...ตามใจละกัน แต่ว่าเอาออกก็ดีจะได้ดูสะอาด ๆ” ครูหนุ่มให้ความเห็นไปก่อนที่เด็กหญิงจะไหว้ลาก่อนจากไปอีกครั้ง เขาเลยเอางานทุกอย่างกองไว้บนโต๊ะเพราะไหนๆ เสาร์-อาทิตย์ก็อยู่ที่โรงเรียนอยู่แล้วทันทีที่เด็กหญิงลับตาเขาก็รีบกลับบ้านพักแล้วอาบน้ำทาแป้งประพรมน้ำหอมโคโลญจน์สารพัดสวมเสื้อยืดกางเกงแพรให้สบายกายสบายใจที่สุดนั่งดูทีวีไปแต่สมองเขากับจดจ่ออยู่ที่ “หนู” แถมยัง “เอาขนออกอีก” และแล้วก่อนที่ตะวันจะตกดิน เขาก็ได้ยินเสียงร้องที่คุ้น ๆ หู “ครูคะ ๆ หนูมาแล้วค่ะ ครูจะเอาหนูหรือยังคะ” “แล้วล้างมาสะอาดหรือยัง”ครูหนุ่มตะโกนถามในขณะเดินไปเปิดประตู “สะอาดแล้วค่ะ แม่ช่วยล้างและเอาขนออกหมดด้วย” คำตอบของลูกศิษย์ยิ่งทำให้ครูหนุ่มใจเต้นอย่างไม่เป็นจังหวะ เขาเปิดประตูออกช้า ๆ ภาพที่อยู่เบื้องหน้าก็คือเด็กหญิงคนนั้น ยังสวมชุดนักเรียนที่มอมแมมผมเผ้ายังยุ่งเหยิงไม่ต่างอะไรกับเมื่อตอนกลางวันและทุก ๆ วันที่ผ่านมา แต่ในมือขวาของเด็กหญิงที่ยื่นเขาใกล้ประตูที่แง้มถือสิ่งของบางอย่าง ทำเอาครูหนุ่มตกตะลึงไปพักใหญ่ ๆ เด็กหญิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแจ้วๆ อีกเช่นเดิม “แม่บอกว่าครูต้องอยู่เวรวันเสาร์อาทิตย์และครูใจดีที่ช่วยซื้อหนู แม่เลยแถมหนูให้อีก 1 ตัว เป็นสองตัว 50 บาท คะ เมื่อคืนพ่อจับได้ 3 ตัว เอากินที่บ้าน 1 ตัว หนูไปบอกแม่ว่าครูชอบหนูแม่เลยแถมให้.....เป็น 50 บาทคะ….ครูเป็นอะไรคะดูครูสั่นๆ เหมือนไม่สบาย” และแล้วสักพักหนึ่งสติของกวินก็กลับมาพร้อมกับเสียงสั่น ๆ “ทะ...เท่าไหร่นะ 50 บาทเหรอดะ...เดี๋ยวนะ” เขาเดินไปหยิบแบงค์ร้อยเก่า ๆมายื่นให้เด็กหญิงด้วยมือสั่นๆ และบอกว่า “ไม่ต้องทอนนะฝากไปให้แม่” เด็กหญิงไหว้ขอบคุณและก่อนที่จะเดินจากไป ยังกล่าวกับครูของเขาด้วยน้ำเสียงเช่นเดิม.... “ถ้าพ่อได้หนูอีก จะเอาหนูมาให้ครูอีกนะคะ” ครูหนุ่มค่อย ๆ ยกตอกในมือที่ผูกติด “หนู” อยู่ 2 ตัวขึ้นมาช้า ๆ “หนูจริง ๆ แถมล้างสะอาดด้วย ขนก็เอาออกจนเกลี้ยงจริง ๆ” เฮ้อ! บ้านก็ไม่ได้กลับ แฟนก็ไม่ได้ไปหาต้องมานั่งเฝ้าโรงเรียนทั้งที่ไม่ใช่เวรของตนอีกมิหนำซ้ำกับข้าวก็ไม่ได้เตรียมไว้ มีแต่ “หนู”ที่ไม่เคยกินและไม่เคยหวังว่าจะได้กินอีกแต่ต้องได้มากินอีก 2 วัน....เวรกรรม
ภาษาและวัฒนธรรมท้องถิ่นเป็นสิ่งที่ “ผู้มาใหม่” พึงให้ความสนใจการนำฐานคิดของคนพื้นราบหรือสังคมภายนอกไปตัดสินหรือชี้แนะช้ำนำคนที่อยู่กับชุมชนท้องถิ่นซึ่งอยู่กันคนละบริบทอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องเสมอไป ปัจจุบันเรายึดถือความรู้จากส่วนกลาง ตำราจากส่วนกลาง ครูจากส่วนกลาง ยัดเยียดความรู้จากภายนอกจนละเลยความรู้ท้องถิ่น ยึดมั่นถือมั่นว่าความรู้ที่เรามีเป็นความรู้ที่ถูกต้อง ใช้ไม้บรรทัดของเราไปวัด “เขา” เด็กที่สื่อสารภาษาไทยไม่ได้ ไม่ชัดเจนกลายเป็นตัวตลกในสายตาครูหลายครั้ง แต่นั่นคือความพยายามของเด็กและชุมชนในการเรียบเรียงและร้อยเรียงประโยคจากภาษาถิ่นเป็นภาษาไทย ซึ่งถือว่าเป็นภาษาที่สองที่เขาต้องเรียนรู้ เช่นกรณีของครูโรงเรียนแห่งหนึ่งที่เล่าประสบการณ์ให้ฟังว่า “วันหนึ่งมีเด็กน้อยในห้องที่สอนเดินตามหลังมาพร้องกับพูดว่า “ครูครับ ๆ พ่อบอกให้ชวนครูไปเที่ยวที่บ้าน พ่อจะฆ่าครูให้หมูกิน” ฟังดูครั้งแรก ๆ ก็ตกใจ คิดว่าทำไมจะต้องฆ่าเราให้หมูกิน แล้วครูที่ไหนจะกล้าไป...จริง ๆ แล้วมันหมายถึง เขาจะฆ่าหมูให้เรากิน คนที่เขาฆ่าหมูเลี้ยงนั้นจะต้องเป็นคนที่สำคัญมาก ๆ สังคมบนดอยเขาถือว่าครูเป็นบุคคลสำคัญ เด็กจะต้องเรียนรู้ภาษาไทยใหม่ก่อนที่จะต้องเรียนเนื้อหาวิชาแต่เขาพูดเรียงประโยคไม่ถูกซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ” หรืออย่างในกรณีของ “ช๊อปเปอร์” ที่ครูใช้ให้ไปซื้อของบางอย่างที่บ้านของภารโรงที่เปิดเป็นร้านค้า “แม่แดงครับ ครูให้มาซื้อแฟ้ม” “ช๊อปเปอร์ จะทำรายงานเหรอ บ้าแม่แดงไม่มีหรอก ถ้าจะเอาแฟ้มต้องฝากซื้อในเมือง” “ไม่ใช่ครับ ผมจะเอา แฟ้ม ไปซักผ้า” แฟ้ม : แฟ้บ ? หรือในกรณีที่ครูผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่กำลังนั่งทานข้าวกลางวันอยู่ มีเด็กนักเรียนชายวิ่งกระหืดกระหอบมาหาที่โต๊ะอาหาร พร้อมกับบอกว่า “ครูครับ ๆ มีคนเรียกครูครับ” “มีใครเรียกครูที่ไหน” ครูผู้หญิงถามเด็กน้อยและก็ยิ่งทำให้ทุกคนแทบจะสำลักข้าวเมื่อได้ยินคำตอบของเด็กน้อยที่บอกว่า “เขาเรียกครูที่ในโทรศัพท์ครับ ครูส้มให้มาตามครู”.......นอกจากที่เขาต้องเริ่มเรียนรู้ทักษะการฟัง พูด อ่าน เขียน ภาษาไทยแล้วสิ่งที่เป็นปัญหานอกเหนือจากความเข้าใจของครูต่อแนวคิดวัฒนธรรมชุมชนยังเป็นเรื่องจุดอ่อนของหลักสูตรและระบบการศึกษาที่ยังไม่เอื้อต่อการพัฒนาความเท่าเทียมให้เกิดขึ้นอย่างจริงจังดังจะเห็นได้จากเนื้อหาจากหลักสูตรแกนกลางที่ไม่มีการปรับใช้ให้เหมาะกับแต่ละท้องถิ่น มุ่งให้เด็กได้เรียนรู้เฉพาะสังคมส่วนกลาง เช่นประวัติศาสตร์ไทยที่ยังมีความคลาดเคลื่อนและรวมศูนย์ละเลยความหลากหลายของประวัติศาสตร์ท้องถิ่นหรือแม้แต่ นโยบายที่สนับสนุนให้ใช้โรงเรียนเป็นฐาน (School Base Management : SBM) ก็ยังดำเนินได้ไม่เต็มที่เพราะระบบการสอบ ทั้งการสอบ NT และการสอบศึกษาต่อ การสอบเข้ามหาวิทยาลัยยังใช้ข้อสอบและเนื้อหาจากหลักสูตรแกนกลางหากโรงเรียนมัวแต่สอนเรื่องท้องถิ่นเด็กก็สอบไม่ได้ หากสอนแต่เนื้อหาจากหลักสูตรแกนกลางก็มักจะตกเป็นผู้ต้องหาของใครต่อใครว่าเป็นตัวการที่แปลกแยกเด็กออกจากชุมชน.....ความพอดี “ของเรา” กับ “ของเขา” นี่มันต่างกันซะไม่มี
แวะเข้ามาทักทายค่ะ...อ่านแล้วลุ้นเลยค่ะ...
อิ อิ อิ ขอบคุณค่ะ
อ่านแล้วน้ำลายไหลครับ
ส่วนแฟ้มกับแฟบ ความหมายต่างกันลิบลับเลยน่ะครับ อาจสื่อสารกันเข้าใจผิดกันง่ายๆ
ไปที่ไหน ศึกษาวัฒณธรรม ภาษาของถิ่นนั้น เอาไว้ก่อน กันหน้าแตกน่ะครับ หุหุ
สำเนียงและการสื่อสารเองก็เป็นปัญหาครับ บางทีเด็กเขาก็พยายามสื่อความหมายตามที่เขาเข้าใจแล้ว เพราะในภาษาไทยเองมีคำทั้งของไทยเดิมและคำที่ยืมมามากมายอย่าว่าแต่เด็เกบนดอยเลย เราเองก็ยังสับสน "ถ้าเราหันมามองโลกในมุมมองของเด็ก ปัญหาที่ผู้ใหญ่ประสบอยู่อาจจะลดลงไปเยอะเลยก็ได้"
เคยฟังนิทานเรื่องนี้นะฟังทีไรขำทุกทีและตอนนี้มาอ่านต้นฉบับก็ยิ่งมองเห็นภาพพจน์มากขึ้นสนุกมากค่ะคืนนี้คงหลับไปพร้อมกับรอยยิ้ม สงสารครูกวินนะ ทานไม่เป็นก็หมักแล้วตากแดดไปฝากแม่ยายสิคะและบอกด้วยว่าเสาร์-อาทิตย์ผมไม่ได้กลับบ้านก็เพราะมัวแต่ไปหาหนูเอามาฝากคุณแม่นี่แหละครับคือเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสไงจ๊ะ
สวัสดีครับ คุณ คน(ทำ)งาน
ขอบคุณครับ มีคติดี :)
ขอบคุณที่มีเรื่องที่ดีให้อ่าน.. มีหลากหลายข้อคิดที่แฝงอยู่..โดยเฉพาะเรื่องหลักสูตรและการสอน
เก่งมากเลยค่ะ ขอเป็นแฟนประจำนะคะ
ขออนุญาตนำไปเล่าสู่เพื่อน ๆ ต่อนะคะ
น่าอ่านดีมีให้ลุ้น
ได้อารมณ์มากๆครับ คิดไปไกลเลย เห้อ
ที่แท้ก็หนูในทุ่งนานี่เอง อิอิ
กะว่าเข้ามาหาข้อมูล ไป อบ? เด็กวัยรุ่น แบบรัก?จังเลยค่ะ ที่รับผิดชอบเด็กพลาด ทั้งตั้งใจ และไม่ตั้งใจ ท้องและออกโรงเรียน ไม่จบ เลย ม. 6 เป็นจิตอันใด มีความรู้สึกว่า อย่างน้อยๆนะคะ หากเรา ช่วยชี้แนะ ช่วยรับทราบปัญหา เหตุผลใดก็ตามให้เด็กเยาวชนของเราเรียนจบชั้นมัธยมปลายได้ทุกคน สภาวะการตัดสินใจ ความเป็นผู้ใหญ่ขึ้น อาจนะ อาจจะ มีการตัดสินใจ อนาคตได้ดีกว่า ที่เป็นในปัจจุบันค่ะ ขอบคุณใน บทความที่น่ารัก น่าสนใจทุกบทความ แล้วจะพยายามเข้ามาหาคุณค่า ทุกๆบทความอีกนะคะ แต่ก่อนไป ถามนิดนะคะ "เจ้าของเวปฯ จาเอา หมู ไม๊คะ " อิอิอิ
มัยรู้จะพูดยังงัยแต่ก็สนุกดีไปเล่าหัยเพื่อนฟังแล้วเพื่อนบอกคิดได้
งัยแบบว่าฮาเสี่ยวสุด ๆ
จริง ๆ แล้ว ที่หน่วยงานผมมีการทำหลักสูตรการสอนเพศศึกษาในโรงเรียนอยู่ครับ สำหรับแต่ละช่วงชั้น มีการรเริ่มใช้ในโรงเรียนนำร่องอขง จ.เชียงราย ซึ่งท่านท่านไหนที่สนใจก็สามารถเมลล์มาได้ที่ [email protected] ได้ครับ
87568686
ช่วยด้วยๆโปนโจ้น..