นักวิชาการด้านชี้ กนง.ไม่ควรลดดอกเบี้ยลงอีก หอการค้าระบุเศรษฐกิจไทยเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวแล้ว หากลดดอกเบี้ยอาจส่งผลต่อภาพลบต่อภาวะเศรษฐกิจ ซ้ำไม่ส่งเสริมการออม
นายสมภพ มานะรังสรรค์ อาจารย์จากคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 9 เมษายน 2551 น่าจะคงดอกเบี้ยมากกว่าที่จะลดดอกเบี้ย โดยหากจะลดดอกเบี้ยก็คงเป็นผลมาจากปัจจัยการเมือง ไม่ใช่ปัจจัยภาวะเศรษฐกิจ เพราะหากดูเหตุผลประกอบ ทั้งเงินเฟ้อที่สูงร้อยละ 5 อัตราการนำเข้าเพิ่มขึ้น ปัญหาการเงินตึงตัว สภาพคล่องเริ่มขาดแคลน ขณะที่แม้ดอกเบี้ยนโยบายจะไม่ปรับลด แต่อัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ก็เพิ่มขึ้นเพื่อดึงเงินฝาก ขณะเดียวกันอัตราดอกเบี้ยของไทยเมื่อเทียบกับทั่วโลกก็ไม่อยู่ในเกณฑ์สูง เช่น ออสเตรเลีย อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ร้อยละ 7-8 เวียดนาม ร้อยละ 12-13 และฮ่องกง ร้อยละ 4-5
นายสมภพกล่าวว่า ปัญหาการเมืองมีผลต่อความเชื่อมั่นด้านเศรษฐกิจ ซึ่งสิ่งที่รัฐบาลต้องทำคือ บริหารการเมืองให้มีเสถียรภาพ ซึ่งจากความปั่นป่วนการเมืองขณะนี้ ทำให้การลงทุนของเอกชนที่เดิมคาดว่า จะเป็นตัวแปรหลักช่วยดึงเศรษฐกิจในปีนี้ ได้ชะลอการลงทุนออกไป ดังนั้น สิ่งที่จะช่วยเศรษฐกิจได้คือ ภาครัฐบาลต้องเร่งเดินหน้าโครงการเมกะโปรเจกท์ตามที่ประกาศไว้ หากทำได้จะทำให้การลงทุนเอกชนเกิดขึ้นตามมา ทั้งอสังหาริมทรัพย์ และอื่น ๆ ซึ่งการลงทุนเมกะโปรเจกท์จะต้องเร่งดำเนินการ เพราะหากนานเกินกว่า 3 เดือน ภาพความปั่นป่วน ทางการเมืองอาจมากกว่าปัจจุบัน
ด้านนายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึงการประชุม กนง. ในวันที่ 9 เม.ย. โดยคาดว่า กนง.จะตรึงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 3.25 เนื่องจากเศรษฐกิจเริ่มส่งสัญญาณการปรับตัวขึ้นแล้ว อีกทั้งหากปรับลดดอกเบี้ยลง จะถือเป็นการส่งสัญญาณด้านลบต่อภาวะเศรษฐกิจ ประกอบกับขณะนี้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่แท้จริงถือว่าติดลบ เนื่องจากตัวเลขเงินเฟ้ออยู่ที่ร้อยละ 5 ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ที่ร้อยละ 2 หากลดอัตราดอกเบี้ยอีก จะไม่ส่งเสริมต่อการออม ซึ่งจะทำให้รัฐขาดเงินออมเพื่อนำมากระตุ้นเศรษฐกิจ และถ้าหากระดมเงินด้วยการออกพันธบัตร ก็ต้องกำหนดอัตราดอกเบี้ยให้จูงใจมากขึ้น จึงเห็นว่าไม่มีเหตุผลที่ กนง.จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก
แนวหน้า 9 เม.ย. 51
ไม่มีความเห็น