ไม่อิ่ม...กับหนังรัก


เพิ่งค้นพบว่า...หนังรักบางเรื่องก็ใช่ว่าจะทำให้หน้าเปื้อนยิ้มเสมอไป

            เห็นทีเซอร์หนังไทย "ปิดเทอมใหญ่ หัวใจว้าวุ่น" ตอนไปดูหนัง step up 2 (ซึ่งเป็นหนังที่สนุกมาก) ก็ตั้งใจเหลือเกินว่าหนังเข้าเมื่อไหร่จะไม่รอช้าที่จะไปดู...

            แต่ก็ผ่านไปตั้งเกือบอาทิตย์...และก็ไม่ได้ update ข้อมูลใดๆ ก่อนไป ว่ามีคนวิพากษ์วิจารณ์อย่างไรบ้าง (จนวันนี้ก็ยังไม่ได้อ่านวิจารณ์) กะว่าไปดูแบบใสๆ ยังไงหนังเรื่องนี้ก็ต้องเป็นหนังในดวงใจอีกเรื่องหนึ่งแน่ๆ

            เข้าไปดูด้วยความสบายใจ...หวังไว้ในใจว่า...วันนี้คงมีความสุขจากการดูหนังรักเป็นแน่  เปิดเรื่องด้วยการเล่าคาแรคเตอร์ของตัวละคร ตามสูตรเป๊ะ  แต่ก็ยังนึกชมว่า เออ มีการเปิดให้คนดูรู้จักตัวละครน่ารักดี ไม่ต้องมีการพูด ไม่ต้องมีการเอ่ยชื่อกัน  แต่เป็นการเขียนชื่อลงในกระดาษคำตอบ แค่นี้ก็ทำให้คนดูรู้แล้วว่าใครชื่อแซ่อะไร   โห...นี่แค่เปิดตัวก็ยังเหนือความคาดหวัง ต้องสนุกแน่ๆ  แต่แล้ว...กลับไม่เป็นเช่นนั้น...

            หนังแบ่งความรักออกเป็นหลายคู่ ตั้งแต่วัยมัธยมต้น มัธยมปลาย และระดับมหาวิทยาลัย (ดูสิ...แค่นี้ฉันก็คิดตั้งนานว่ามีกี่คู่) เคยได้ยินมาว่า "หนังรักถ้าทำไม่ถึง บางทีเราจะลืมไปด้วยซ้ำว่าในหนังมีคนรักกัน" ไม่เคยจะเชื่อประโยคนี้เลยนะเนี่ย แต่วันนี้ขอคารวะ

           การดำเนินเรื่องก็เล่าสลับไปมาเหมือนเรื่อง Love Accually แถมยังเอาเรื่องนี้มาอยู่ในเรื่องให้คนดูคิดได้อีกว่าเหมือนกัน เฮ้อ!

           ความรักของแต่ละคู่ก็นำเสนอในมุมมองที่ต่างกันออกไป ก็น่าสนใจดี  แต่มันไม่อิ่มสักคู่ ไม่อิ่มของฉันก็คือ ไม่มีคู่ใดที่จะทำให้เรารู้สึกคล้อยตามหรือซาบซึ้งใจไปด้วยเลย หนังรักของฉันมันต้องทำให้เรารู้สึกว่าเราเป็นพวกเดียวกันผู้หญิงหรือผู้ชาย เราต้องมีการลุ้น มีการเอาใจช่วย จนในที่สุดความรักนั้นมันต้องถึงขีดสุดด้วยพลังใจของเราที่ช่วยกัน  แต่หนังเรื่องนี้ไม่มีสักคู่ที่จะทำให้ฉันรู้สึก

           เหลียวมองไปรอบๆ หลังจากเริ่มเบื่อ ก็ไม่มีใครหน้าเปื้อนยิ้ม คิดเข้าข้างตัวเองว่าคงคิดเหมือนกัน มองนาฬิกาว่าเมื่อไหร่หนังจะจบสักที...หลอกกันชัดๆ คิด...คิด...คิด....เอ๊ เป็นเพราะอะไร เลยวัยเหรอก็ไม่น่า  แต่ถ้าดูตามเนื้อหาฉันคิดว่า...เรื่องมันเยอะไป เลยต้องตัดบางส่วนทิ้ง ซึ่งไอ้บางส่วนเนี่ยฉันคิดว่ามันจำเป็นสำหรับหนังรัก เช่น ฉากที่ต้องแสดงความซาบซึ้ง แสดงความคิด หรือแสดงถึงความสัมพันธ์บางอย่าง แต่เรื่องนี้มีถึง 4 คู่ จึงรีบเล่าเกินไป (ขนาดรีบหนังยังยาวตั้ง 2 ชม.) ทำให้จุดไคลแม็กซ์มันหายไป เรื่องนี้เลยต้องจ่าหน้าไว้ว่า "น่าเสียดาย"

 

                แต่ก็ไม่เข็ดนะ...ถ้าเขาทำออกมาฉันก็คงไปดูอีกอ่ะ...แต่ขอร้อง...คราวหน้าเอาอิ่มๆนะ.

หมายเลขบันทึก: 175799เขียนเมื่อ 8 เมษายน 2008 03:54 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 23:30 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (12)

สวัสดีครับ

ผมเห็นด้วยครับกับหนังเรื่องปิดเทอมใหญ่...

ดูแล้วก็เฉยๆนะ เพราะว่าอย่างที่คุณ loveangel บอกหละครับ

มันไม่อิ่มจริงๆ หนังมันน่าจะมีต่อไปอีกนะครับ

ดูเหมือนว่าหนังเรื่องนี้จะเจาะเน้นไปที่ยอดจำหน่ายมากกว่านะครับ

เพราะจะเจาะเฉพาะกลุ่มตั้งแต่อายุ 13 - 30 เลยนะครับ

ซึ่งเค้าก็ทำได้ประสบความสำเร็จดีครับ ออกจากโรงแล้วยังรู้สึกเหมือนไม่มีอะไรน่าเล่าเลยนะครับ

  • ปิดเทอมใหญ่เป็นหนังดีเรื่องหนึ่งในรอบปีนี้ เพราะหนังเข้าใจกลุ่มเป้าหมายได้ดี
  • แม้จะมีบางตอนที่ไม่ถึงขั่วหัวใจก็ตาม
  • แต่ก็นับว่าหนังได้ฉายแววหนังสะท้อนภาพสังคมบ้านเราได้เป็นอย่างดี
  • หนังเรื่องนี้แม้จะไม่ได้ทำให้หัวเราะแบบหนังตลกโปกฮา แต่ก็ทำให้เรายิ้มและน้ำตาไหลรินได้ แบบไม่ต้องโฮ
  • และหากมองให้ดี ประเด็นการเมือยังแทรกอยู่ด้วย ลองกลับไปดูอีกรอบนะครับ แล้วจะเห็นสิ่งดีดีจากหนังดีดี

การดำเนินเรื่องก็เล่าสลับไปมาเหมือนเรื่อง Love Accully แถมยังเอาเรื่องนี้มาอยู่ในเรื่องให้คนดูคิดได้อีกว่าเหมือนกัน เฮ้อ!

  • ผมว่าประเด็นนี้ผู้กำกับต้องการให้เกิดประเด็นคิดแบบนี้ อย่างน้อยเป็นการเสียดสีในบางเรื่องบางประเด็น
  • ขออนุญาตนำเข้าแพลนเน็ต เพราะมีคนเขียนเรื่องแบบนี้น้อย
  • ขอบพระคุณอาจารย์ที่เอาเรื่องหนังมาเขียน
  • มีบ้างที่ผมเขียนเรื่องนี้ แต่ไม่บ่อย ด้วยด้อยความรู้เกี่ยวกับหนัง

ไม่ได้ไปดูหนังไทยในโรงใหญ่มานานแล้วค่ะ แต่เรื่องนี้อยู่ใกล้ตัวมาก เหมือนคนทำหนังจะรู้ว่า อย่างไรก็ขายเด็กแถวเชียงใหม่ได้ตั้งสองโรง(เรียน)แล้วนะคะ ฟังเด็ก ๆ คุยกัน อยู่ห่าง ๆ รู้แล้วว่าเดี๋ยวมาแบมือขอตังค์ไปดูหนังกัน ตั้งแต่วันแรก ๆ ที่ฉาย ดูไปกริ้ดกร๊าดคนรู้จัก แล้วทั้งโรง(หนัง)ก็ เด็กสองโรง(เรียน)นี่เอง พอมีตัวเองปรากฏในฉากไหน ก็เฮกัน สร้างหนังเอาใจวัยรุ่น ต้องให้มีส่วนร่วมนะคะ กลายเป็นว่าให้ความสำคัญกับตัวแสดงมากกว่าเนื้อหา หรือเปล่า ถามเด็ก ๆ ดู เห็นพูดแต่ตัวแสดง...ที่สำคัญ เด็ก ๆ รอจนตีสองตีสามกว่าจะถ่ายบางฉาก 300 บาทค่ะ ค่าตัวต่อคน..แต่ยังไงก็บอกเด็ก ๆ แล้วว่าเป็นวีซีดี เมื่อไร ก็จะอุดหนุน (อีกที)ค่ะ

ดูแล้วเหมือนกันครับ ผมว่านักแสดง แสดงไม่เป็นธรรมชาติเท่าไหร่ หนังเลยดึงอารมณ์ได้ไม่มากเท่าที่ควร แต่ก็ถือว่าเป็นหนังที่ดีในระดับหนึ่ง

7/10 ครับ เรื่องนี้

ดีจังค่ะ.ที่มาอ่านก่อน..กาลังว่าจะไปดูนะคะเนี่ย..

เคยประทับใจกับเรื่องlove accually เหมือนกันค่ะ..ชอบมากมั่ก..แล้วก็ my bestfriend wedding แต่รู้สึกว่าหนังเกาหลีจะทำหนังแนวนี้ได้กินใจกว่านะคะ.อย่างเรื่องคนแรกของหัวใจฯ แล้วก็sad movie หรือ อีมาเร่ หรือ daisyก็ซึ้งดีค่ะ..

ตั้งแต่ดูมาหนังรักของไทยก็ประทับใจเรื่องเพื่อนสนิท ล่ะค่ะ..มากที่สุด.

.ดูที่โรงแต่ละทีก็ต้องคิดมากหน่อย.นะคะ..ไม่งั้นเสียดายตังกะเวลาจริงๆล่ะค่ะ..

ขอบคุณนะคะ.

เคยชอบเรื่องสั้นและเขียนเรื่องสั้นมาแล้วหลายเรื่องค่ะ แต่ก็ไม่ถึงขนาดออกมาเป็นรูปเล่ม เขียนเผยแพร่ในวารสารวิทยาลัยค่ะ การเขียนเรื่อง ๆหนึ่งไม่ว่าจะเป็นเรื่องสั้นหรือเป็นนวนิยายอะไรก็แล้วแต่ คงต้องคำนึงถึงตัวละครจะต้องวางไดอาร็อกว่าจะให้ตัวละครตัวไหนเด่น และเด่นอย่างไร มีวิธีการดำเนินเรื่องอย่างไร คือต้องเขียนบทคร่าว ๆ ไว้ก่อนค่ะ วางเป็นบทที่ 1 2 3 ไปเรื่อย ๆ และแต่ละบทมีตัวละครใดบ้าง บรรยากาศของบทละครเป็นอย่างไร สถานที่อย่างไร และจะทำจุดไคร์แม็คตรงไหน บ้างค่ะ นี่เป็นทั่ว ๆ ไปของการเขียนบทละครตามที่นกเคยทำเป็นศึกษา แต่การทำหนังเนี่ยอาจจะต้องคำนึงถึง สังคมและคำนึงถึงตลาดด้วยค่ะว่าต้องการแบบไหน บางทีด้วยวัยอย่างเรา ๆ อาจจะไม่ดื่มด่ำไปกับบทที่เค้าสื่อให้คนรุ่นที่เป็นวัยเรียนก็ได้ค่ะ แต่ถึงอย่างไรก็ถือว่าเราช่วยกันส่งเสริมหนังไทยให้เขาสามารถอยู่ได้ ก็น่าจะพอเนอะ คุณว่าอย่างนั้นไหมคะ..

ไม่ได้เข้าบล็อกนี้นาน(มัวแต่ไปเล่น hi5) เลยงงว่าเวลาเราต้องการตอบความคิดเห็นกลับจะตอบไปที่ไหน เพราะ hi5 เราก็ตอบกลับไปที่บล็อกเจ้าของเค้าได้เลย แต่บล็อกนี้ไม่ได้อ่ะ ดูจากหลายๆ คน ก็ตอบกันในบล็อกของตัวเอง ต่อๆ กันลงมา ทำให้คิดไปว่า แล้วคนที่เค้ามาแสดงความคิดเห็นไว้ เค้าจะกลับมาดูอีกมั้ยน้อ...

ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชมและแสดงความคิดเห็นนะคะ และก็ขอแสดงความคิดเห็นกลับด้วยนะคะ

คุณ head of art

ใช่แล้วค่ะ หนังเรื่องนี้เป็นหนังตลาดแน่ๆ และจ้องจับตลาดวัยรุ่นทุกช่วงด้วยค่ะ

และเค้าก็ทำสำเร็จจริงๆ

คุณ ออต

อยากทำความเข้าใจสักนิดนะคะ ถึงประเด็นที่ดิฉันกำลังพูดถึงในบล็อกนี้ คือต้องการเน้นประเด็นด้านความรักค่ะ (ความชอบส่วนตัว ^_^) ด้านอื่นๆ ค่อยว่ากัน อิอิ.เพราะคงอีกยาวแน่ๆ

และไม่อยากบอกว่าหนังเรื่องไหนดีไม่ดี แต่อยากบอกว่าชอบไม่ชอบตรงไหนมากกว่า เพราะหนังมันคือศิลปะอย่างหนึ่ง การเสพงานศิลป์ก็เอาอารมณ์เอาใจเราเป็นที่ตั้งอยู่แล้วใช่มั้ยคะ

แต่ที่ทำบล็อกนี้ขึ้นมาเพียงอยากให้การนำเสนองานศิลปะแขนงนี้เป็นไปด้วยความสมจริงเพื่อให้คนเข้าถึงเข้าใจในทุกๆอย่างของหนัง แล้วในที่สุดมันก็จะนำมาซึ่งความอิ่มใจ...นั่นเอง

หนังไทยบ้านเราทุกวันนี้ที่เราไม่ค่อยยอมควักเงินไปดูกันนั่นก็มาจากส่วนสำคัญคือบท ซึ่งมันก็คือเนื้อหา ซึ่งก็คือการดำเนินเรื่องที่น่าจะเป็นไปได้ ความสมเหตุสมผลของสถานการณ์และตัวละคร ซึ่งบทหนังไทยเราน่าจะด้อยในส่วนนี้..

ดีใจนะคะที่มีคนสนใจหนังไทย และดูในหลายๆ มิติ

ถึง คุณครูแอ๊ว

อยากให้คุณครูไปดูนะคะ ฉันไม่ได้บอกว่าหนังไม่ดีค่ะ ส่วนอื่นๆ ที่เขาทำดีก็มีค่ะ ทั้งเรื่องของวัยรุ่นที่ถ้าครูไปดูแล้วอาจจะทำให้เข้าใจเด็กๆ มากขึ้นนะคะ ที่ฉันเอามาเล่าก็แค่มิติด้านความรักเท่านั้นเองที่ฉันรู้สึกว่ามันยังไม่สามารถให้เราอินได้แค่นั้นเองค่ะ อย่าเสียดายตังค์เลยค่ะ

ไปช่วยกันอุดหนุนหนังไทยหน่อยเถอะ

และก็เห็นด้วยกับคุณนก เพ็ญศรี อย่างยิ่งค่ะ.

สวัสดีครับคุณ loveangel

  • ห่างหายหน้าไปนาน  จำได้ว่าเคยคุยกันมาก่อน  แต่นานแล้วครั้งนั้นไม่เห็นหน้าตา  ต่อไปคงจะได้เข้ามาหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องการเขียนบทบ้าง
  • ขอบคุณที่แวะเข้ามาเยี่ยมยามตอนดึก  ข้อมูลจึงยังสดๆร้อนๆ  แต่ผมเองกว่าจะนำข้อมูลรวม 3 ตอน  ขึ้นบล๊อกทั้งหมดได้ก็ง่วงนอนมาก  ต้องรีบนอนเพราะเช้าวันเสาร์(3พค) ก็ต้องไปวิจารณ์งานของผู้ที่เข้ารับการอบรม  ก่อนปิดการอบรมครับ  (รุ่นที่ 2 จะเริ่มวันจันทร์ที่ 5 พค นี้ วันหยุดแต่คงไม่ได้หยุด) 
  • ขนาดเขียนบทหนังรักได้  คงไม่ต้องอบรมแต่วันหลังจะเชิญไปเป็นวิทยากรเรื่องการเขียนบทดีกว่า

คือผมเข้าใจความรู้สึกของทุกท่าน ท่าน love angel อยากเห็นงานที่เป็น Love จริงๆ ซึ่งผมเองก็อยากเห็นเพราะหนักไทยโรแมนติกจริงๆ จะหายากมากผมติดตามมาก็มากแต่ก็หาได้น้อยที่ 100%

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท