ไป “ เบิ่ง ” เมืองลาวให้เห็นกะตา ตอน ... แรกเริ่มเดินทาง


ตอน ... แรกเริ่มเดินทาง (โดย น้ำฝน)

น้องสาวไปเที่ยวเมืองลาว

เห็นว่าสนุกดี ก็เลยอยากนำมาแบ่งปันความประทับใจ เชิญอ่านครับ ===>

--------------------------------------------------------------------------------

ไป เบิ่ง เมืองลาวให้เห็นกะตา    

ตอน ... แรกเริ่มเดินทาง (โดย น้ำฝน)

ในเช้าวันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ 2551  ... ผู้ร่วมชะตากรรมทริปนี้ทั้งหมด 8 คน   ...  เริ่มต้อนการเดินทางจากเมืองพระพิษณุโลกสองแคว สู่หัวเมืองจัตวา เมืองเชียงราย  ... การเดินทางแบบสบาย ๆ เพราะว่าคืนนี้เราจะต้องพักที่เชียงของก่อน 1 คืน  ...  เอ้อ ! ลืมบอกว่าเราเดินทางกันด้วยรถตู้ค่ะ ..ไปแวะเอ้อละเหยลอยชายกันที่แม่สายนิดหน่อย    ก่อนที่ลุงคนขับจะบอกว่า  “..ไปเถอะคับ ..เพราะทางต่อไปมันจะเป็นทางเขา  ฝนก็จะตกด้วย ..ถึงเชียงของก็เย็นมากแล้ว.... เราเข้าพักที่ เรือนโสภาพรรณมีลูกชายคนเล็กของคุณโสภาพรรณ คอยให้การต้อนรับ เรือนโสภาพรรณเป็นรีสอร์ทที่เจ้าของเค้าดัดแปลงเรือนพักเดิมให้เป็นโฮมเสตย์ ให้ความรู้สึกเหมือนบ้านตัวเองเลย บรรยากาศรอบ ๆ ดีมาก ๆๆ   อยู่ติดริมโขง มองข้ามน้ำไปก็เห็นดินแดนฝั่งลาว หลังจากเข้าที่พักเรียบร้อยแล้ว  ... ก็ได้เวลาของอาหารเย็นพอดี ((เพราะว่าท้องเริ่มร้องโดยพร้อมเพียงกัน)) 

  ...  พออิ่มหนำแล้ว ... ก็ถึงเวลาออกสำรวจพื้นที่สักหน่อย  ออกเดินย่ำต๊อกดูบรรยากาศในเมือง  ร้านค้าเปิดกันประปราย เน้นบริการแก่นักท่องเที่ยวซะส่วนใหญ่  (( ลักษณะร้านต่าง ๆ คล้าย ๆ ปาย สมัยเมือง 5 ปีที่แล้ว ))  เช่น ร้านอาหารสไตล์อเมริกัน ร้านอาหารญวน (( ไหนว่าติดลาว ไหงมีอาหารญวน .. งงค่ะ .. ก็เลยลองเปรย ๆ ถามพี่ที่ไปด้วยกันดู  พี่เค้าบอกแบบขำ ๆ ว่าเป็นอาหารญวนสไตล์ลาวไง ..หุหุหุ ))   มีร้านหนังสือ โปสการ์ด มีบาร์เล็กๆ ติดใจอยู่ร้านหนึ่ง เป็นร้านแบบยิปซี ร้านเค้าคล้าย ๆ กระท่อม มีก่อกองไฟหน้ากระท่อมละก็มีชอปเปอร์จอดอยู่คันสองคัน   มีคนนั่งดื่มกันรอบกองไฟ เปิดเพลงที่ฟังไม่รู้เรื่อง เบา ๆๆ......  ((  อากาศเริ่มหนาวเล็กน้อย ))    ... ที่เป็นบ้านคนก็ปิดเงียบ ..  แวะเข้าไปดูร้านโปสการ์ด  ... มีสวย ๆ  ตั้งหลายใบ  อยากส่ง ... แต่ไม่รู้ว่าจะส่งให้ใครดี  ก็เลยซื้อไว้เป็นที่ระลึกให้ตัวเองซะเลย  .. เศร้า !

... วันมาฆบูชา 21 กุมภาพันธ์ 2551  ....

ตื่นมาด้วยความสดชื่น (( มีคนแอบมากระซิบว่า เมื่อคืนฝนตกด้วย หุหุ ไม่ เห็นรู้เลยอะ  ))    รีบจัดการกะอาหารเช้าที่เจ้าบ้านเค้าเตรียมไว้ให้    .... น้องบอย  ไกด์ท้องถิ่นก็เข้ามาแนะนำตัวพร้อมกับจัดการเรื่องเอกสาร   หลังจากอิ่มหนำกับมื้อเช้า      พวกเราก็ร่ำลาเรือนโสภาพรรณ  มุ่งหน้าสู่ท่าเรือ  เพื่อลงเรือเล็กข้ามไปยังเมืองห้วยทราย  สปป.ลาว   จากนั้นก็ลงเรือใหญ่ที่ท่าเรือห้วยทราย   นั่งเรือจากเมืองห้วยทราย ล่องลำน้ำโขง ลงใต้ ก็จะเข้าสู่     บ้านท่าด่าน   ( เรียกตามชาวเรือ เพราะว่าเป็นจุดตรวจเช็คเรือ ที่แล่นขึ้น-ลง ในลำน้ำโขงตอนบน ของประเทศลาว )                                          

 

น้องบอย บอกกับพวกเราว่าจริง ๆ แล้วหมู่บ้านนี้ชื่อว่า บ้านปากทา เป็น จุดเชื่อมบรรจบระหว่าง ลำน้ำโขง และลำน้ำทาที่ไหลลงจากเมืองหลวงน้ำทา   การเดินทางทางเรือ ถ้าข้ามเขต  แขวง  จะต้องเสียค่าผ่านเมืองด้วย  ยกเว้นเรือท่องเที่ยว   พอขึ้นเรือใหญ่ได้  ...  การเดินทางอันยาวนานของเราก็เริ่มขึ้น  จริง ๆ แล้วการล่องเรือชมโขงนี้  มีให้เลือกอยู่ 2 แบบ คือ      นั่งเรือใหญ่  แบบที่เราเลือก  ใช้เวลาเดินทางทั้งหมดประมาณ 9 ชม.  และอีกแบบคือนั่งเรือด่วน ใช้เวลา ประมาณ 7 ชม.  น้องบอย ก็บอกว่า  เป็นการนั่งเรือที่ทรหดมาก ถึงมากที่สุด  ผู้โดยสารจะต้องสวมหมวกกันน๊อคด้วย    ((  พร้อมกับบรรยายสรรพคุณของเรือ ))  ไม่เห็นภาพคับพี่น้อง  ...  สักพักก็มีตัวอย่างจริง ๆ ให้เห็น  ทุกคนชักภาพกันแทบไม่ทันด้วยความตื่นเต้น !  …. มันเป็นเรือเล็กจริง ๆ คล้าย ๆ เรือหางยาวติดเครื่อง  นั่งต่อ ๆ กันเหมือนกับเข้าแถว  ดูแล้วเมื่อยแทน  เพราะว่าคงขยับไม่ได้  นอกจากจะสวมหมวกกันน๊อคแล้ว บางลำมีผ้ายางคลุมขาให้ด้วย  ที่สำคัญที่สุด  คือ ความเร็วที่แบบว่าไปแข่งเจสกีได้เลยอะค่ะ  ... แฟ้วววววววววววววววว  หายใจแทบไม่ทัน  ..คิด ๆ แล้วก็น่าลองสักที  หุหุ        

เรือออกแรก ๆ ตื่นเต้นกันใหญ่  วิ่งกันหัวเรือ ท้ายเรือ  สำรวจกันใหญ่    30 นาทีผ่านไป  หมดฤทธิ์    เรือลำนี้มีลุง 2 คน ผลัดกันขับ  ละก็มีพี่อีก 2 คน คอยดูแลเรื่องอื่น ๆ  เช่นอาหารการกินของเรา  มื้อแรกบนเรือ  เป็นอาหารเช้าที่เสริมหลังเรือออกได้นิดเดียว (( มื้อเช้าที่กินไปไม่ช่วยอะไรเล้ย  .. ขึ้นเรือได้สักพักกินอีก ))   ….ไข่เจียวใส่ถาด  กะข้าวต้มอีกหม้อเบ้อเร่อ  ((  ไม่ได้พิมพ์ผิดน๊ะ  ...  เค้าใส่ถาดขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 ศอก ))  .. ที่น่าสนอีกอย่างก็คือ  เครื่องปรุงรส  นอกจากเกลือ กระเทียมเจียว  มะนาว  และมีหน้าตาแปลก ๆ   คล้าย ๆ  พริกคั่วน้ำมันที่ใส่กะข้าวซอย  ... เผ็ดม๊ากมาก     อิ่มหนำรอบสอง  ... แต่ละคนเริ่มจับจองมุมต่าง ๆ ตามใจชอบ  ที่นั่งบนเรือเค้าเอาเบาะรถตู้มาติดขาด้วยท่อนไม้แล้วเอาผ้าพัน ๆๆ เลื่อนได้ แต่ไม่ง่ายนัก   ...  น้องบอยก็สรรหาเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยมาเล่าสู่กันฟัง  จริงบ้าง  เกินจริงบ้าง  ฟังไปก็ขำไป  (( แต่จำไม่ได้แร้ววว ))    

มีเรื่องตื่นเต้นเกิดขึ้นเล็กน้อย   ขณะที่คุณน้องบอยเล่าถึงสัญญาณโทรศัพท์  ว่าถ้าใครใช้ระบบ GSM  ถ้าเข้าสู่เมืองลาวแล้ว  จะเปลี่ยนสัญญาณเป็น GSM LAOS ที่ลาวจะมีระบบสัญญาณโทรศัพท์แค่เจ้าเดียว   พูดแล้วก็ชี้ไปที่คุ้งน้ำข้างหน้า  ว่า  ...  พอผ่านคุ้งน้ำข้างหน้าก็จะสุดเขตแดนประเทศไทย  โทรศัพท์ระบบอื่นจะใช้ไม่ได้   ...  เท่านั้นแหละ  โทรศัพท์เจ้ากรรมก็ดังขึ้น  ....  มีปัญหาเรื่องงานตามมาหลอกหลอนเล็กน้อย  ...  สัญญาณโทรศัพท์ก็จะหมด (( ใช้ DTAC ))   ...  รีบสั่งโน่นนี่  ...  @!#@$%#!^&*&$!#$   ..  (( ในใจก็นึกไป  ..  ลุงขับช้า ๆ หน่อยก็ได้  จะถึงคุ้งหน้าอยู่แร้ววว  ...  แง้ ๆๆ  ))  ....  กรรมจิง ๆๆ   ประมาณว่าพูดถึงผี  ผีก็มา  เฮ้อ !

               

ด่านตรวจเมืองปากแบง  เป็นจุดพักอีกที่หนึ่งของเรือทุกลำ  เป็นที่พักแรมของเรือโดยสารประจำทาง  เพราะการเดินทางปกติ  จากห้วยทราย  จนถึงหลวงพระบาง  จะใช้เวลา 2 วัน  พักนอนที่ปากแบง 1 คืน แล้วค่อยเดินทางต่อ   เรือทุกลำไม่ว่าจะเป็นเรือโดยสารประจำทาง  เรือท่องเที่ยว  เรือบรรทุกสินค้า  จะไม่เดินทางตอนกลางคืน  เพราะว่ามันอันตรายมาก  คนขับเรือจะอาศัยการดูโขดหินใต้น้ำจากลักษณะของร่องน้ำ  และใช้ความชำนาญเฉพาะคน     การแวะจอดที่ด่านตรวจเมืองปากแบงทำให้เราเจอกะเรือลำหนึ่ง  เป็นเรือท่องเที่ยวเหมือนเรา  เกิดอุบัติเหตุมา  สภาพเรือพังยับเยิน  ถามไถ่กันไปมาได้ความว่า  โพล้เพล้เมื่อสองวันก่อน  เรือลำนี้ล่องตามน้ำลงมา มีเรืออีกลำทวนน้ำขึ้นมาถึงจุดหักมุมโขดหิน  ... ก็เลยเฉี่ยวกันทำให้เรือไปชนโขดหิน  บนเรือมีนักท่องเที่ยวอยู่เต็มลำ  (( ลืมบอกไปค่ะว่า  เรือลำที่มากันนั้นถ้าบรรจุกันเต็มอัตราศึก  จะจุได้ประมาณ 40 50 คน  แบบไม่ต้องลุกไปไหนกันเลย   แต่ที่ไปกันแค่ 8 คนรวมไกด์อีก 2  เป็น 10 คน  ทั้งเรือมี 14 คน  หุหุหุ  ซะแน่นเลย  ))    ... จากอุบัติเหตุนั้นมีนักท่องเที่ยวบาดเจ็บหลายคน  แต่ไม่มีเสียชีวิต  ...  คุณน้องบอย บอกว่า ถ้าเกิดอุบัติเหตุทางเรือเกิดขึ้นอย่างนี้  เรือลำที่ล่องทวนน้ำขึ้นมาจะผิดเสมอ  ไม่ว่ากรณีใดทั้งสิ้น  ... 

 

อาหารมื้อที่สอง  เป็นผัดผักรวม  (( ใส่ถาดอีกแล้ว )) ต้มจืดมะระแม้วใส่วุ้นเส้น  หมูผัดขิง  และที่โปรดมากที่สุด  .... ซี่โครงหมูทอด   ที่มีความพิเศษก็คือ  มันมีขนาดเท่ากับ 1 คืบ  และที่สำคัญ   ....  เหนียวมาก ๆๆๆ   กินไปเม้าส์กันไป  บ้างก็สันนิษฐานว่า   มันเป็นหมูป่า , หมูแก่, หมูที่ผ่านกระบวนการถนอมอาหาร  ฯลฯ

 

พอบ่ายสองโมงเป๊ะ  คุณพี่ก็ยกส้มตำ   พร้อมกระติ๊บข้าวเหนียวออกมาวาง   ...  เพิ่งอิ่มไปแหม๊บ ๆ แต่จะไม่กินเดี๋ยวเค้าจะเสียใจ   ...  หุหุหุ  ลองส้มตำลาวดูสักหน่อยซิ   หน้าตาดูจืด ๆ  แต่เผ็ดใช้ได้เลย  แยกไม่ออกเลยระหว่างจานที่ใส่ปลาร้า  กับที่ไม่ใส่ปลาร้า  555 ++  เพราะว่าเผ็ดเหมือนกัน .. มองหน้ากันละก็สรุปว่า  อร่อย  แต่เผ็ด !   

ทิวทัศน์สองข้างทาง นอกจากธรรมชาติที่สวยงามแล้ว  มีอะไรที่แปลก ๆ ให้ดู ...หาดทรายริมน้ำโขงเป็นทรายขาวนวลตา .. มองไปมองมาก็สวยดีตัดกับสีเขียวของภูเขา  และสีดำของโขดหิน ..แต่ .... เอ๊ะ !!!!! .นั่นมันฝูงน้องควาย  ....

   

 

 โอ้แม่เจ้า !  ฝูงน้องควาย  8 10 ตัว  มานอนอาบแดดกันอยู่ตามริมหาด  ประหนึ่งจะให้ผิวเป็นสีแทน  555++  มีหลายตัวที่เป็นควายเผือก   ....   หุหุหุ   มองไปก็ยิ้มไป   เป็นสิ่งที่ไม่มีให้เห็นแน่ ๆ ตามหาดทรายริมน้ำแถวบ้านเรา  ...      ถ้าถึงฤดูน้ำหลาก  น้ำจะขึ้นสูงท่วมเรือของเราเลยทีเดียว   ดูจากรอยน้ำตามโขดหิน  ... 

               

9 ชม.ก็ผ่านไป  ... แต่พวกเราก็ยังไม่ถึงเมืองหลวงพระบางซะที  เริ่มจะมืดแล้วด้วย  ใจหนึ่งก็นึกถึงอุบัติเหตุขึ้นมา  ช่วยลุงเพ่งเล็งทางข้างหน้ากันใหญ่   นึก ๆๆ อยู่ว่ามืดก็มืด  ทำไมลุงไม่เปิดไฟหล่ะ   มาถึงบางอ้อ ก็ตอนที่คุณน้องบอยบอกว่า  เค้าจะไม่เปิดไฟเพราะว่าแสงไฟจะสะท้อนผิวน้ำเข้าตาคนขับ  ...  ทำให้มองไม่เป็นร่องน้ำ  .. ข้างทางยังมืดอยู่เลย   น้องเค้าก็คงเห็นว่าแต่ละคนเริ่มใจเสียกัน   ก็พยายามอธิบายข้างทางที่พอจะเห็นเป็นเงาตะคุ่ม ๆ  ว่าอีกประมาณ 5 กม.ก็จะถึงเมืองหลวงพระบาง  ให้สังเกตไปสีม่วง ๆ ที่อยู่บนยอดเขา  เป็นไฟบนยอดเขาภูสี   ที่ประดิษฐานพระธาตุภูสี  ... ว่าแล้วแต่ละคนก็ช่วยกันเล็งกันใหญ่    แต่ที่เห็นกันจะ ๆๆ   ก็คือ  พระจันทร์เต็มดวง  ที่สวยมาก ๆ  

 

 

โปรดติดตามตอนต่อไปจ้า !

หมายเลขบันทึก: 175436เขียนเมื่อ 5 เมษายน 2008 12:24 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 มิถุนายน 2012 10:17 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (25)

บรรยากาศดีมากครับ ผมเคยเดินทางเชียงของ สู่หลวงพระบางเหมือนกันครับ วันคืนที่ประทับใจนั้นยังตราตรึง

 

บันทึกน่าอ่านมากๆครับ

  • ตามมาเที่ยวด้วย
  • อิอิ น้องรินทร์ไปด้วยหรือเปล่าคะ

สวัสดีเจ้าค่ะ พี่รินทร์

น้องจิแวะมา เบิ่งๆๆ คิคิ ประเทศลาวก็สวยเหมือนกันนะนี่ คิคิ รักษาสุขภาพด้วยนะเจ้าค่ะ

เป็นกำลังใจให้เจ้าค่ะ ---->น้องจิ ^_^

  • เขียนเก่งค่ะ  อ่านแล้วน่าติดตาม
  • เคยไปเที่ยว เข้าทางหนองคาย  ไปไม่ถึงหลวงพระบาง  อยากไปเมืองหลวงพระบาง   ถ้ามีโอกาสจะไปเที่ยวอีกค่ะ
  • สาวลาวสวยค่ะ

หวัดดีค่ะ...

เคยไปดูงานที่ลาวเหมือนกัน แต่เน้นไปทางเฮฮามากกว่า อยากรู้ว่า คุณรินทร์ ไปกะเค้า

ด้วยรึป่าวค๊ะ? สวยจัง...

P1. จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร

P 2. naree suwan

ขอบคุณคุณจตุพร และคุณพี่นารีรัตน์ที่แวะมาทักทายครับ

ผมเคยไปแต่ไปไม่ถึงหลวงบางหรอกครับไปแค่วังเวียงก็ประทับใจแล้วครับ

ปลายทางสู่ ‘วังเวียง’

ไว้จะหาโอกาสไปให้ถึงหลวงพระบางครับ

 

P3. น้องจิ แซ่เฮ ^๐^!

ขอบคุณน้องจิคนเก่ง
กับอาจารย์ณัฐยามากครับที่มาทักทาย
ที่ สปป ลาว บรรยากาศดีมากครับ
ธรรมชาติสวยงามน่าอยู่มากครับ
เห็นด้วยกับอาจารย์ครับ "สาวลาวสวย" ครับ

P5. windy

สวัสดีครับคุณครู windy

เคยไปเหมือนกันครับ แต่เป็นคนละทริปกันครับ

ผมเคยไปถึงแค่วังเวียงครับ อยู่ระหว่างเวียงจันทร์ ถึงหลวงพระบาง

ปลายทางสู่ ‘วังเวียง’

ยังประทับใจไม่ลืมครับ ต้องหาโอกาสไปอีกครับ

 

ตามมาเบิ่งด้วยคน สวยทั้งสาวลาวและไทยครับ

และก็อยากรู้เหมือนคุณwindyเลย 5555

แสดงว่าคุณรินทร์ไม่กังวัลเรื่องถูกบั่นทอนสิทธิและเสรีภาพแล้ว(ล้อเล่นครับ)

ไม่มีรูป9. ผู้ชาย

สวัสดีครับคุณผู้ชาย

ไปที่เดียวกันครับ แต่ต่างวัน ต่างเวลา ต่างกรรม ต่างวาระ น่ะครับ หึหึ

ปลายทางสู่ ‘วังเวียง’

ก็จริงนะ สวยทั้งสาวไทย-สาวลาว แหล่ะครับ ส่วนเรื่องสิทธิ ก็ยังมีสิทธิอยู่ครบถ้วนครับ หึหึหึ (รึเปล่าหวา...?????)

เพิ่งจะมีเวลาตามทางลุงรินทร์ทำลิงค์ไว้ให้

โอ้โห ๆๆ มีคนอ่านตั้งเยอะแหนะ หุหุหุ ตื่นเต้นอะ 555++

ง้านคงต้องรีบปั่นตอนต่อไปแร้วหล่ะ ....

ปล. ต่อมขี้โม้เริ่มบังเกิด 555++ เอิ๊ก ๆ

โอ๊ะโอ

เจ้าของเรื่องเข้ามาเจอจนได้......

รอตอนต่อไปอยู่นะหึ...

แวะมาทักทายค่ะ  บันทึกได้น่าอ่านค่ะ   ขอบอกนะคะ แม่หญิงลาว

สวยแปลกค่ะ  ลิ้มศรีนั่งมองเพลินเลย (บุญพาวาสนาส่งได้ไปดูงานกับเค้า

บ้างหน่ะค่ะ........อิอิอิ........)

หวัดดีค่ะ แวะมาชม...ขอบอกว่าชื่มชนลาวเขาชาตินิยมมากๆ... คนไทยมั่วแต่เห็นประโยชน์ส่วนตน...พวพพ้องน้องพี่...โดยเฉพาะ...รัฐบาลของไทยทุกยุคทุกสมัย...

ประเทศไทยเราผ้าถุงถึงหายไป  เซเว่นเข้ามา....

อีกหน่อยธงชาติไทยก็ไม่เหลือ...เอากันเข้าไป...            น้องเหลิมศรี...พี่หมักดอง....แม้วเมืองจ๋า....เหลือแผ่นดินไว้ให้ลูกหลานยาจกอย่างครูซ่อมคนบ้างเน้อ...555จะร้องเพลงชาติไทยให้ใครฝัง...

ขอบคุณคุณครู ลิ้มศรี P ที่แวะมาทักทาย

เป็นเสน่ห์คนละแบบครับ แบบว่าสวยกันคนละรสนิยมอ่ะครับ หึหึ

โดยเฉพาะถ้าได้ฟังสำเนียงการพูดเพลินดีครับ

P  ครูซ่อมคน

เมือลาวเขาค่อยๆพัฒนาอย่างช้าๆและยั่งยืน

ส่วนเมืองไทยขึ้นอยู่กับว่าใครคือผู้ที่ได้ครอบครองแหวนแห่งอำนาจอาญาสิทธิ์ (The Lord of the Ring) ถ้าแหวนตกอยู่ในการครอบครองของคนไม่ดีก็จะตกเป็นเครื่องมือของความชั่วร้าย

เหมือนที่ไมเคิล ไรท ตั้งคำถาม

"Who holds the One Ring Today?"

น่าไปดูให้เห็นกะตานะเนี่ย

แต่ไม่รู้จามีโอกาสป่าว

ขอบคุณมากก๊าบ...ที่แบ่งปันคสามสุขมาให้

สบายดีนะคะ....

[ไป “ เบิ่ง ” เมืองลาวให้เห็นกะตา ตอน ... แรกเริ่มเดินทาง ]

เพียงแค่ชื่อก็น่าติดตามแล้ว ยิ่งได้เห็นหน้าเจ้าของผลงาน ยิ่งน่าติดตามชวนอ่านมากขึ้น (หน้าตาทะเล้นๆ ชอบๆ)^_^ การเล่าเรื่องนั้นหนุกหนานให้เต็ม 10 เลยจ้า อ่านแล้วก็จิตนาการตามประหนึ่งว่าได้ร่วมทริปไปด้วยกานไงงั้น และตาก็ร้อนผ่าวๆ เพราะอิจฉาล่ะนะ พอเล่าถึงอาหาร น้ำย่อยก็เริ่มประท้วง ทั้งๆที่รู้ เอ๊ยม่าช่ายๆ ทั้งๆที่เพิ่งจะอิ่มมาได้สัก 2 ชม.เองน่ะ (ตากี้วิญญาณพี่ป้อมพี่โต๊ะเข้าสิงชัวครู่ วะฮ่าฮ่า วะฮ่าฮ่า) สรุปแล้วชอบจ้า เล่าเรื่องน่าติดตาม ให้อารมณ์ร่วมสุดๆ เป็นกำลังใจให้นะ สู้ต่อไปไอ้มดแดง อิอิ (งานเขียนแบบนี้ พี่เคยอ่านของคนหนึ่ง เขาเล่าถึงตลาดน้ำอัมพวา นั่นก็สนุกไม่แพ้กัน แต่อ่านแล้วให้อามาณ์ที่ต่างกันตรงที่ ตลาดน้ำอัมพวาพี่เคยไปมาแล้ว และจะส่งให้อ่านนะ)

ปล.อิอิ คุงพี่โลมาในสายลม เป็นพี่ ๆ ของเค้าเองอะลุงรินทร์

แกเข้าใจผิดแน่ ๆ ว่าเป็นบล็อคเค้า กะให้อ่านละก็วิจารณ์ซะหน่อย เผื่อตอนหน้าจะได้ทำให้ดีขึ้น เล่นเม้น ๆ กันในนี้เลย อุอุ

ขอบคุณ

คุณ noomnim และ คุณ โลมาในสายลม

มากครับที่กรุณาวิจารณ์ งานของน้องน้ำฝน

แต่เจ้าตัวอ่านไปก่อนหน้าและล่ะครับ หึหึหึ

ถ้าเป็นเรื่องเที่ยวละก็เรียนเชิญ

ร่วมแบ่งปันนะครับ

ปอลอ.

คุณน้องน้ำฝน กรุณาอย่าลืมตอนต่อไปล่ะ หึหึ รออ่านอยู่นะ หึหึ

ลาวใต้ก็น่าเที่ยวนะคะ แถวๆเมืองจำปาศักดิ์ น้ำตกสุดยอด หลี่ผี คอนพะเพ็ง ตาดเยือน ตาดฟาน คนลาวก็น่ารักเป็นกันเองดี ยิ่งเห็นหน้าตาเราก็เลยยิ่งเข้ากันได้

ไม่มีรูป21. ธารน้ำ

 

ขอบคุณครับสำหรับคำแนะนำดีๆ ไว้โอกาสหน้าต้องไปเยือนถิ่นลาวใต้ให้จงได้ครับ แล้วคุณธารน้ำมีภาพน้ำตกสวยๆให้ชมที่ blog ไหนมั่งรึเปล่าครับ

หวัดดีคับคุณพี่

ไม่ได้เจอกันเลยนะครับ

ช่วงนี้หลวงพระบางหนาวมาก แต่ก็สวยอยากให้มีโอกาสได้เที่ยวด้วยกันอีกนะครับ

หวัดดีครับ

ผมเคยพาทริปที่ทรหดยิ่งกว่านั่งเรือก็คือ นั่งรถจากห้วยทรายไปหลวงพระบาง 15 ชั่วโมง สุดยอดครับ แล้วจะมาเล่าให้พี่ฟังว่า ครั้งหนึ่งผมก็เคยไปกับพี่ (สีผิวขาวขึ้นมั๊ยครับ

55++

ตามมาอ่านจนได้ ๆๆๆ อุตส่าห์โม้แบบ .... เงียบ ๆๆ อิอิ

ว่าแร้วคุณน้องบอยเค้ามีเรื่องหนุก ๆๆ เยอะแยะ ... มีเวลาก็มาโม้ให้กันฟังมั่งน๊ะ ๆๆ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท