"การพัฒนาระบบสวัสดิการชาวบ้าน"
ผู้เขียนได้มีโอกาสเข้าไปทำงานในเรื่องการจัดสวัสดิการสังคมร่วมกับหน่วยงานองค์กรภาครัฐและชุมชน จึงอยากจะนำเสนอชุดข้อมูลเรื่องสัวสดิการแบบชาวบ้านให้ผู้สนใจอ่าน
ระบบสวัสดิการที่ผ่านมาของสังคมไทย "ในอดีตได้รับสวัสดิการจากธรรมชาติ ผู้คนช่วยเหลือเกื้อกูลกัน" จนกระทั่งปัจจุบันรัฐได้มีการจัดสวัสดิการให้กับประชาชนในรูปแบบต่างๆ ซึ่งเป็นสวัสดิการในลักษณะที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องใช้งบประมาณจำนวนมากแต่ให้บริการไม่ทั่วถึง ไม่ครอบคลุมความจำเป็นพื้นฐานของชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย ทำให้หลายชุมชนได้มีความพยายามในการจัดสวัสดิการตนเองขึ้น แต่ยังอยู่ในลักษณะต่างคนต่างทำ ไม่เชื่อมโยงและขาดการสนับสนุนอย่างเป็นระบบ จากเหตุผลดังกล่าวทำให้เครือข่ายองค์กรชุมชนตระหนักร่วมกันในการฟื้นฟูระบบสวัสดิการให้สามารถเป็นหลักประกันความมั่นคงในการดำรงชีวิตบนพื้นฐานการพึ่งตนเอง การช่วยเหลือซึ่งกันและกันระหว่างคนในชุมชนตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย เป็นการจัดสวัสดิการโดยชาวบ้าน เพื่อชาวบ้าน เป็นการให้อย่างมีคุณค่าและรับอย่างมีศักดิ์ศรี เคารพซึ่งกันและกัน มีกระบวนการที่สอดคล้องกับวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ใช้หลักศาสนาและการมีส่วนร่วม
ในประเด็นดังกล่าวนี้ชี้ให้เห็นว่ารระบบสวัสดิการจากภาครัฐนั้นไร้ประสิทธิภาพทั้งในแง่ "การเปิดโอกาสให้คนเข้าถึง ปริมาณสวัสดิการที่มีให้ และคุณภาพของสวัสดิการที่จัดให้" ทำให้ชุมชนต้องลงมือและดูแลกันเอง ซึงมองในแง่ของการพัฒนาชุมชนแล้วจะเป็นแนวทางที่นำไปสู่ความยั่งยืนได้
ระบบสวัสดิการแบบชาวบ้านมุ่งเน้นไปที่หลักการสำคัญ 3 ประการคือ
1. เป็นระบบสวัสดิการที่ยั่งยืน คิดและดำเนินการโดยชุมชนเพื่อชุมชนสามารถดูแลทุกคน ทุกเพศทุกวัยในชุมชนได้อย่างทั่วถึง
2. เป็นระบบสวัสดิการที่ดูแลชาวชุมชนได้อย่างครอบคลุมตั้งแต่เกิดจนตาย
3. เป็นระบบสวัสดิการที่นำไปสู่ความมั่นคงในชีวิต โดยมีฐานคิดว่า สวัสดิการคือความมั่นคงในชีวิต
ดังนั้นสวัสดิการ จึงไม่ได้หมายความ เฉพาะเงินเท่านั้นที่จะนำมาซึ่งความมั่นคง แต่จะรวมไปถึงการบูรณาการสวัสดิการหลากหลายเข้าด้วยกันเช่น ประเพณี วัฒนธรรม ความเชื่อ ภูมิปัญญา และความสัมพันธ์ที่ดีของคนในชุมชน นำมาซึ่งความเอื้ออาทรต่อกัน เป็นสวัสดิการทางสังคมที่ทุกคนมีให้แก่กัน การร่วมกันฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติในท้องถิ่นเช่น ป่าชุมชน กลุ่มอนุรักษ์ลุ่มน้ำ ชายฝั่ง นำมาซึ่งแหล่งอาหารและสิ่งแวดล้อมที่ดี เป็นสวัสดิการธรรมชาติเพื่อให้คนและธรรมชาติอยู่ร่วมกันได้อย่างพึ่งพาอาศัยกัน การปรับวิธีคิดการทำเกษตรกรรมไปสู่เกษตรกรรมยั่งยืน ความเป็นอยู่ที่พอเพียง เป็นแหล่งอาหารที่ยั่งยืน ฟื้นธรรมชาติกลับคืนมา ตลอดจนการนำภูมิปัญญาและทรัพยากรท้องถิ่นผลิตเป็นสินค้าแทนการซื้อจากภายนอก
(Holistic approch or Synergistic approach) = การรวบรวมผนึกกำลังจากฐานทรัพยากรที่มีอยู่ในระบบเล็ก ๆ ของเรา มาสร้างความเข้มแข็ง มั่นคง ให้ทุกคนมีที่อยู่ที่ยืน อย่างมีศักดิ์ศรี และโอบอุ้มคุ้มครองกัน อันนี้จะช่วยให้สังคมเราอยู่รอด ทั้งนี้เราไม่สามารถกระทำการใด ๆ ที่เปลี่ยนระบบสังคมใหญ่หรือตัวโครงสร้างได้ ก็ต้องเริ่มที่สังคมเล็ก ๆ ก่อน
โครงสร้างระบบสวัสดิการชาวบ้านแบ่งออกเป็น 3 ระดับคือ
1. ระบบสวัสดิการชาวบ้านระดับตำบล (บริหารกองทุนและจัดสวัสดิการให้กับสมาชิก)
มีแนวทางการดำเนินงานอย่างน้อย 8 ขั้นตอน
1.1 จุดประกายความคิด-ทำความเข้าใจกับกลุ่มเป้าหมาย
1.2 ค้นหาศักยภาพและทุนในท้องถิ่น
1.3 ขยายแกนนำให้ครอบคลุมพื้นที่ปฏิบัติการ
1.4 ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานในท้องถิ่น
1.5 การตั้งกองทุนสวัสดิการชาวบ้าน
1.6 การบริหารกองทุน
1.7 การติดตามประเมินผล
1.8 การขยายผล
2. ระบบสวัสดิการชาวบ้านระดับจังหวัด (กำหนดแนวทางการขับเคลื่อนระบบสวัสดิการในจังหวัด ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆในจังหวัด เชื่อมโยงกองทุนสวัสดิการในจังหวัด)
3. ระบบสวัสดิการชาวบ้านระดับประเทศ (พัฒนากองทุนสวัสดิการชาวบ้าน กำหนดเป้าหมายและทิศทางสวัสดิการชาวบ้านระดับประเทศ สนับสนุนด้านข้อมูล การเรียนรู้ ประสานงานกับเครือข่ายต่างๆ พัฒนาสู่ระดับนโยบาย)
การดำเนินงานสวัสดิการชาวบ้านที่ผ่านมาได้ข้อสรุปดังนี้
1. เป็นระบบสวัสดิการที่เกิดจากการร่วมคิดร่วมทำ ร่วมรับผลประโยชน์โดยชาวชุมชน
เน้นการสร้างความเข้มแข็งของระบบ การจัดการบริหารที่ยืดหยุ่น คล่องตัว ตรวจสอบได้ โดยอาศัยทรัพยากรที่มีอยู่ในท้องถิ่นเป็นหลักเพื่อให้สามารถดูแลประชาชนในท้องถิ่นทุกเพศทุกวัยทุกประเภทได้อย่างครบวงจรตั้งแต่เกิดจนตาย
2. ระบบสวัสดิการชาวบ้านไม่ได้คิดเพียงการสร้างกองทุนที่จำเพาะเพียงตัวเงินเท่านั้น
แต่ยังได้บูรณาการทุนทุกประเภทที่มีอยู่ในท้องถิ่นเข้าด้วยกัน ทั้งทุนทรัพยากรและทุนทางสังคม เพื่อก่อให้เกิดระบบสวัสดิการที่เข้มแข็ง เอื้อให้คนในชุมชนมีความมั่นคงและอยู่ร่วมกันอย่างเอื้ออาทรทั้งคนต่อคนและคนกับธรรมชาติ
3. ระบบสวัสดิการชาวบ้านมีความจำเป็นที่จะต้องสัมพันธ์เชื่อมโยงกันในทุกระดับตำบล
จังหวัด และระดับประเทศ โดยให้ความสำคัญกับการสร้างระบบท้องถิ่นที่เข้มแข็งโดยมีกลไกระดับจังหวัดและระดับประเทศทำหน้าที่เชื่อมโยงสนับสนุนอย่างสอดคล้องต้องกัน
4. ระบบสวัสดิการชาวบ้านจะมีความหลากหลายในการบริหารจัดการขึ้นอยู่กับเงื่อนไข
เหตุผล ความจำเป็นในแต่ละท้องถิ่น ตลอดจนมีเทคนิคและการเริ่มต้นที่ไม่เหมือนกันตามศักยภาพของตนเอง
5. ระบบสวัสดิการชาวบ้านสามารถเชื่อมประสานหน่วยงานต่างๆในท้องถิ่นให้มาทำงาน
ร่วมกันได้อย่างกว้างขวางเช่นกองทุนระดับตำบล มีการประสานกับ อบต.ระดับจังหวัดมีการเชื่อมโยงกับพมจ.และพัฒนาการจังหวัดเป็นต้น ทำให้หน่วยงานเหล่านี้มีความเข้าใจทิศทางของระบบสวัสดิการชาวบ้านได้ดียิ่งขึ้น นำไปสู่ความร่วมมืออันดีต่อกันเกิดขึ้นทั่วประเทศ
6. เกิดกองทุนสวัสดิการระดับตำบล 400 กองทุน(เกิดการเรียนรู้ระบบสวัสดิการเพิ่มขึ้น 600 ตำบล ในปี 2549) เกิดกลไกสวัสดิการระดับจังหวัดจำนวน 20 จังหวัด มีเงินกองทุนที่เกิดจากที่ชาวบ้านและหน่วยงานต่างๆสมทบประมาณ 250 ล้านบาท มีสมาชิกประมาณ 180,000 ราย มีสมาชิกได้รับสวัสดิการกองทุนในรูปแบบต่างๆแล้วประมาณ 36,000 ราย
เป้าหมายการขับเคลื่อนระบบสวัสดิการชาวบ้านในอนาคต
1. เป้าหมายเชิงปริมาณ เพื่อให้สวัสดิการชาวบ้านจะมีการขยายกลุ่มกองทุนให้ครบทุกตำบลภายใน 5 ปี
2. เป้าหมายเชิงคุณภาพ โดยมีแนวทางการดำเนินงานดังนี้
- พัฒนาระบบกองทุน ขยายฐานสมาชิกไม่ต่ำกว่าร้อยละ60ของประชากรในตำบล
- สนับสนุนการเชื่อมโยงกับหน่วยงานต่างๆที่เข้ามาสนับสนุนการดำเนินงานของกลุ่ม
- สนับสนุนให้กลไกกลางและกลไกระดับจังหวัดให้เข้มแข็งเพื่อหนุนเสริมระบบสวัสดิการในพื้นที่ได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ
- การดำเนินงานให้เกิดการยอมรับในระดับนโยบาย
3. การพัฒนาไปสู่ระดับนโยบายสวัสดิการของรัฐ
- เสนอให้รัฐบาลนำแนวคิดทิศทางเรื่อง “ระบบสวัสดิการชาวบ้าน” เป็นนโยบาย
สวัสดิการของรัฐ เพื่อสนับสนุนให้องค์กรชุมชนทั่วประเทศได้ดำเนินระบบสวัสดิการโดยชุมชนเองเป็นการสนับสนุนให้ชุมชนเข้มแข็งและพึ่งตัวเองได้อย่างยั่งยืน ครอบคลุมทุกเพศทุกวัย และเป็นการประหยัดงบประมาณของรัฐได้เป็นอย่างมาก
- เสนอให้มีการตั้ง “คณะกรรมการพัฒนาสวัสดิการชุมชนระดับชาติ” ซึ่งมีผู้แทน
ภาครัฐผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แทนชุมชนไม่น้อยกว่า 60%เป็นคณะกรรมการโดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน รมว.กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นรองประธานและหน่วยงานของภาครัฐที่ภาคชุมชนให้ความเชื่อถือทำหน้าที่เลขานุการ โดยให้คณะกรรมการพัฒนาสวัสดิการชุมชนระดับชาติ มีหน้าที่ในการกำหนดแนวคิด ทิศทาง เป้าหมาย ของระบบสวัสดิการระดับฐานราก ตลอดจนกำหนดกฎเกณฑ์ให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องเข้ามาหนุนเสริมระบบสวัสดิการชาวบ้านในทุกระดับ
ดีใจที่อาจารย์เข้ามาเขียนความคิดในblog ถือเป็นการรับฟังความคิดเห็นและขยายผลงานวิจัยให้กว้างขวางขึ้น ผมคิดว่านอกจากขอบเขตตำบล จังหวัด ประเทศไทยแล้ว น่าจะลองล้วงลึกสวัสดิการระดับหมู่บ้านว่ามันเป็นอย่างไร? ตอนไปขอนแก่นบ้านพ่อวิฑูรย์ ผมนั่งคุยกับกรรมการสอบถามเรื่องกลุ่มในหมู่บ้าน ซึ่งผมเห็นว่าเป็นการรวมตัวกันจัดสวัสดิการพบว่ามีกลุ่มออมบุญข้าว กลุ่มอาชีพ กลุ่มสัจจะซึ่งน่าสนใจมาก ผมเคยอ่านหนังสือบ้านกับเมืองของอ.ฉัตรทิพย์ คิดว่าขอบเขตหมู่บ้านคือขนาดความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งของคนในชุมชน และอาจจะเป็นขนาดที่น่าสนใจที่สุดในความสามารถและพลังที่ชาวบ้านมีอยู่ ขอบเขตตำบล จังหวัดมาจากการแบ่งการปกครองของรัฐไทย
อ.ตุ้มเสนอให้เจาะลึกการจัดสวัสดิการในหมู่บ้านโดยการสำรวจข้อมูลเชิงลึก คงได้แลกเปลี่ยนกันต่อไปครับ
สวัสดีค่ะอาจารย์หมู
ดีใจเช่นกันค่ะ ที่อาจารย์หมูแบ่งเวลาที่มีเหลือน้อยนิดมาเปิด blog ส่งข่าวเล่าเรื่องให้พวกเราได้รับรู้กันนะคะ สัญญาว่าจะเป็น "แฟนคลับ" ติดตามอ่าน blog ของอาจารย์หมูให้ได้ทุกตอนค่ะ
จากการเกาะติดสถานการณ์ กลไกระบบของภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งในภาพรวมและระดับจังหวัด ตลอดจนความรู้ที่พวกเราได้จากการลงพื้นที่ ตามงานของอปท.ของภาคประชาสังคม และภาคชุมชน คิดว่าตอนนี้ทีมกลางคือพี่ตุ้มและอ.ภีม ได้ข้อสรุปร่วมกันถึงรูปแบบและกลไกการจัดสวัสดิการที่น่าจะเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนได้มากขึ้นกว่าระบบที่เป็นอยู่ค่ะ ซึ่งอย่างที่อ.ภีมให้ข้อมูล หน่วยจัดการระดับหมู่บ้านน่าจะเป็นหน่วยที่พวกเราน่าจะทำวิจัยเชิงปฏิบัติการดูกันค่ะ ซึ่งคงต้องปรึกษาในรายละเอียดกับพวกเราทีมวิจัยพื้นที่ทั้ง 4 พื้นที่นำร่องค่ะ พี่ตุ้มกำลังเรียบเรียงความคิดและหาเวลาเขียนเล่าให้พวกเราฟังนะคะ รออ่านหน่อยนะคะ
ทีมขอนแก่นมีเวทีวันไหน ส่งข่าวผ่าน blog ด้วยนะคะ
เข้ามาติดตามอ่านตามคำแนะนำของอ.ภีมที่อุตส่าห์ผากใว้ใน mail ได้เห็นความก้าวหน้าของทีมงานวิจัยแล้วขอเอาใจช่วยค่ะ จะติดตามผลงานในตอนต่อไปนะคะ
ได้เคยติดตามงาน อ.ท้งหลายมาบ้างแต่น้อยมาก ผมอยากเห็นงานวิจัยของ อ.ท้งหลาย ช่วยชี้แนะด้วยครับ โดยความเชื่อของผมเองคิดว่าการจัดสวัสดิการระดับหมู่บ้าน ชุมชน นั้นทำได้ดี แต่เป็นองค์กรที่เล็ก ฐานกลุ่มเล็ก การจัดสวัสดิการจึงมีขีดจำกัด ควรจะมีการเชืองโยงกัน จากระดับหมู่บ้านสู่ตำบลสู่จังหวัด มีเงื่อนไขท่เป็นภาคี เกื้อหนุนกัน จะยิ่งดีขึ้นและน่าจะดีทีสุดด้วยครับ