วันนี้ได้อ่านหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ในคอลัมภ์ "สวนชีวิต" ในหัวข้อ คนที่ปากกับใจไม่ตรงกัน ย่อมคบได้ยาก คิดว่าน่าสนใจ เพราะตัวเองก็เป็นคนลักษณะเช่นนี้เหมือนกัน และคิดว่าเพื่อนๆส่วนใหญ่ก็คงมีลักษณะเช่นนี้ในบางอารมณ์เหมือนกัน ซึ่งธรรมชาติของคนโดยทั่วไป หากรากฐานจิตใจมีสิ่งปนเปื้อนเข้าไปแฝงอยู่ด้วย การแสดงออกต่อเพื่อนมนุษย์มักมีแนวโน้มที่ปากกับใจอาจไม่ตรงกัน หรืออาจกล่าวว่า ปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเหตุผลที่ว่า สิ่งซึ่งแสดงออกตรงกับความต้องการของอิทธิพลที่แฝงอยู่ในใจหรือเปล่า
คนในสังคมยุคนี้ถูกอิทธิพลความทันสมัยในรูปด้านวัตถุรวมทั้งเงินเข้าไปเป็นเงื่อนไขแฝงอยู่ในใจหนามากยิ่งขึ้น จึงมีนิสัยชอบอ้างสิ่งซึ่งอยู่นอกตัวเอง หากเป็นคนที่มีความโปร่งใสจริงย่อมถือขันติ โดยไม่นำสิ่งโน้นสิ่งนั้นมาอ้างจนกระทั่งเป็นนิสัย หรืออีกนัยหนึ่งถ้าภายในรากฐานจิตใจมีความสงบและเย็น ย่อมเป็นคนวางเฉย โดยเฉพาะหลังจากมีผู้อื่นกล่าวตำหนิหรือนำความผิดมาโทษตน อย่างที่พูดกันว่าเป็นคนใจเย็น จึงยิ้มรับได้เสมอ สมกับเป็นผู้ที่มีการกล่าวกันว่า วางเฉย
จากเหตุผลดังกล่าว จึงมีการถ่ายทอดอิทธิพลความทันสมัยของรูปวัตถุและเงินเป็นมรดกตกทอดกันต่อมาเสมือนเป็นสายโซ่ ซึ่งผู้ที่มีเงื่อนไขนี้อยู่ในรากฐานจิตใจย่อมเน้นการมองด้วยทิศทางออกจากตัวเองไปสู่ด้านนอกเหนือกว่ามองหวนกลับมาเพื่อพิจารณาส่งที่อยู่ในใจตนเอง ซึ่งพฤติกรรมลักษณะนี้ ย่อมปลูกฝังนิสัยคนให้ยึดติดอยู่กับสิ่งสมมติมากกว่าการเข้าถึงความจริง ดังนั้นบุคคลผู้ถูกหล่อหลอมโดยอิทธิพลดังกล่าว มักมีแนวโน้มที่เจริญเติบโตขึ้นมาในสภาวะลืมตัวชัดเจนยิ่งขึ้น
ดังนั้น สำหรับผู้ที่มีความจำดีเป็นคุณสมบัติ อีกทั้งมีสติปัญญาที่สามารถนำมาเชื่อมโยงเหตุและผลถึงกันได้ย่อมมองเห็นสองด้าน หากรู้นิสัยที่เคยแสดงออกในอดีตมาแล้วว่า พูดอย่างหนึ่ง ช่วงหลังๆ มีการกลับคำหรือกลับทิศทางการแสดงออก อาจส่งผลทำลายสิ่งซึ่งผู้พูดกล่าวเอาไว้ หากสิ่งนั้นอำนวยคุณประโยชน์ให้แก่สังคมในระดับล่าง แต่ความจริงที่อยู่ในใจอาจคิดทำลายสิ่งซึ่งกำลังพูดอยู่นั้นก็เป็นได้