งานศพ


งานศพ..ไม่รู้จัก จะไปทำไม

วันนี้คนในกลุ่มงานของผมออกไปงานศพกันหมด เป็นงานศพของอดีตเจ้าหน้าที่ แต่ลาออกไปแล้วด้วยเหตุผลด้านสุขภาพ ผมนั้นมาไม่ทันเจ้าหน้าที่ท่านนี้ แต่ก็รู้จักกับแม่บ้านที่เป็นภรรยาของเขา เพราะเธอจะนำเต้าหู้ถุงละ 5 บาท มาวางไว้ที่โต๊ะทำงานของผมทุกเช้า เราทักทายกันทุกวันตามประสา และผมก็ยกมือไว้เธอด้วยความเต็มใจยิ่ง

วันที่เขาตายวันแรก ผมไปนั่งสวดฟังสวดอภิธรรมจนแล้วเสร็จตอน 3 ทุ่ม ผมไม่รู้จักเขา แต่ก็ไปเพราะรู้จักกับภรรยาเขา เช่นเดียวกับที่เราไปงานแต่งทั้ง ๆที่อาจไม่รู้จักกับทั้งเจ้าบ้าวเจ้าสาว แต่ไปเพราะเรารู้จักกับเพื่อนของเจ้าบ่าวเจ้าสาว หรือไม่ก็ญาติของคู่บ่าวสาวนั้นรู้จักเรา

ความสัมพันธ์ของคนในสังคมมันน่าสนใจก็ตรงนี้

เมื่อมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นกับคนหนึ่งคน มันส่งผลกระทบไปยังคนรอบข้างอีกเป็นสิบ เป็นร้อย เป็นพัน เหมือนก้อนหินที่ตกลงในสระ คลื่นน้ำอาจกระเพื่อมไปถึงขอบสระอีกด้านก็เป็นได้ และถ้ายิ่งสระนั้นเป็นสระแคบ ๆ คลื่นจะยิ่งตีกลับไปมาระหว่างขอบสระจนยุ่งเหยิงวุ่นวาย กลายเป็นบัพและปฎิบัพของคลื่นเต็มไปหมด

เคยได้ยินว่าในประเทศอเมริกานั้น เคยมีเกมส์ที่เล่นกันในหมู่เพื่อนฝูงว่า 6 degree to Kavin Bacon หลักการเล่นก็มีง่าย ๆ ว่า ยกชื่อขึ้นมาสักชื่อหนึ่ง แล้วคนในกลุ่มก็ช่วยกันโยงไปหาเควิน เบคอนให้ได้ภายใน 6 ช่วงคน เพราะเควิน เบคอนนั้นเป็นดาราฝีมือดีของฮอลลีวู๊ด เล่นหนังมานับไม่ถ้วน เกี่ยวข้องกับคนมากมาย โยงใยไปไม่เกิน 6 ก็น่าจะถึงตัวเขาแล้ว

ช่วงหลัง ๆ เริ่มมีหนังสือบางเล่มกล่าวอ้างว่าเราทุกคนในโลกสามารถโยงถึงกันได้ไม่เกิน 6 ช่วงคน คิดว่าคงได้พื้นฐานความคิดมาจากเกม 6 degree to Kavin Bacon เป็นแน่

ดังนั้นคำพูดที่วัยรุ่นฮิตกันอย่าง "ทำอะไรก็ทำไปเถอะ ขอให้ไม่เดือดร้อนใครก็พอ" นั้นจริงหรือ เรามักจะได้ยินคำนี้หลุดออกมาจากปากผู้พูดเมื่อเขาต้องการหาความชอบธรรมให้กับอะไรสักอย่างที่กำลังจะตัดสินใจ บางคนยังใช้คำนี้แม้ว่าการตัดสินใจของตนนั้นจะทำให้พ่อและแม่ที่บ้านเสียใจ แต่ก็ยังเห็นว่าไม่มีใครเดือดร้อนอยู่นั่นเอง

ทฤษฎี Butterfly Effect ที่เชื่อว่า ผีเสื้อกระพือปีกที่กรุงเทพอาจเป็นสาเหตุให้ฝนตกที่ลอนดอน นั้นสามารถนำมาพูดต่อได้อีกยาว แม้ว่าจะมีคนกล่าวถึงมากจนพ้นระยะฮิตของมันมาแล้วก็ตาม ถ้าจะเอาให้ชัด ๆ ก็อาจพูดว่า "นายสำรวยกากบาทเบา ๆ ที่กระดาษแผ่นเดียว ก็อาจเป็นต้นเหตุให้ระบอบประชาธิปไตยของประเทศบางประเทศล่มสลาย" แบบนี้ก็น่าจะเป็น Butterfly Effect ได้เหมือนกัน

เมื่อไม่นานมานี้มีข่าวของดาราสาวผู้หนึ่ง ถูกกีดกันจากแม่ของแฟนหนุ่ม จนทำให้คำว่า "แม่ไม่ปลื้ม" กลับมาฮิตอีกครั้ง ต้นเหตุนั้นมาจากการที่สาวเจ้าไปให้สัมภาษณ์กับนักข่าวว่า "การแต่งงานเป็นเรื่องของคนสองคนค่ะ"

บ๊ะ.... มันจะเป็นเรื่องของคนสองคนได้ยังไง ไม่มีชั้น เธอหรือจะได้แต่งกับเขา แม่แฟนหนุ่มตบเข่าฉาด

มันก็น่าโมโห การที่คนหนึ่งคนจะเติบโตมาได้พร้อมบริบูรณ์ทั้งรูปสมบัติและทรัพย์สมบัตินั้น ต้องใช้บุคลากรทางสังคมไปไม่ใช่น้อย ทั้งพ่อแม่ พี่ ป้า น้า อา ตา ยาย คุณครูที่น่ารัก คุณหมอที่เคารพ นับไปจนถึงหลวงตาที่วัด

แต่พอจะเข้าหอลงโรงแต่งงานกัน ดันบอกว่าเป็นเรื่องของคนสองคนไปได้ยังไง !!!!

 

หมายเลขบันทึก: 174764เขียนเมื่อ 2 เมษายน 2008 15:09 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 23:25 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

กวาง...

พี่กะปุ๋มนึกว่าใครหน้าคุ้นๆ...หล่อเหมือนเดิม...eee...

ขอหัวเราะ...หัวเราะก่อนนะ...น้องรัก

ไม่เจอหน้าค่าตาเลยนะคะ...

ยังหล่อเหมือนเดิมเลยน้องเรา...555

(^____^)

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท