คำถามนี้เป็นคำถามที่คนทำงานทุกคนควรจะถามตัวเองอยู่บ่อยๆ
ทำไมน่ะหรือครับ เพราะ อนิจจฺ ทุกขฺ อนตฺตา
แต่เท่าที่สังเกตดู พบว่าเป็นคำถามที่ผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จ กลับไม่ค่อยถามตัวเอง -- แล้วผู้บริหารที่ไม่ประสบความสำเร็จ ก็ไม่ค่อยถามตัวเองเช่นกัน
ท่านไม่ควรลาออกด้วยเหตุผลว่างานมันห่วย ถ้างานห่วยจริง ตัวเราก็ห่วยกว่าที่ไปทำงานนั้นตั้งแต่แรก
ในทำนองเดียวกัน เราไม่ควรลาออกเพราะพบว่าไม่สามารถปฏิบัติงานนั้นต่อไปได้ การทำงานไม่ว่าจะเป็นในระดับไหน ควรจะมองว่าเป็นการพยายามเอาชนะข้อจำกัดต่างๆ ถ้าไม่ต้องทำอะไรเลยแล้วเกิดผลขึ้นได้ง่ายๆ โลกนี้คงเต็มไปด้วยผู้ที่ประสบความสำเร็จไปหมด
ท่านไม่ควรลาออกเพราะไม่ได้รับความยุติธรรม คำว่าความยุติธรรมมีความหมายที่ไม่เหมือนกันสำหรับแต่ละคน ในเมื่อเป็นงานที่ท่านได้รับค่าตอบแทน ไม่ว่าจะเป็นตัวเงิน ตำแหน่ง ลาภยศ ความก้าวหน้า หรือความภูมิใจ และท่านได้ตกลงรับทำงานนั้นตั้งแต่ต้น สิ่งใดที่ได้มาภายหลังจากการที่ท่านได้ตกลงทำงานนั้นแล้ว น่าจะเรียกเป็นรายการพิเศษนอกเหนือข้อตกลง เป็นสิ่งที่ได้เพิ่มมาเป็นพิเศษ
"เบื่อ" ก็เป็นเหตุผลที่ตลก จริงอยู่ที่คนเราเบื่อกันได้ แต่จะหวังให้ใครมาแก้ความเบื่อให้หรือครับ ในเมื่อความเบื่อเกิดในใจท่านเอง แล้วตัวท่านก็ไม่ได้พยายามแก้ไข ในเวลาที่เบื่อ ท่านไม่เคยหยุดรับสิ่งตอบแทนเลย ไม่เคยมีใครบอกว่าช่วงนี้ผมเบื่อ ไม่มีอารมณ์ จะลดประสิทธิผลของการทำงานลงเหลือ 25% และขอให้ลดเงินเดือนลงเป็นสัดส่วนเดียวกัน
กำลังใจ ถ่ายให้ไม่ได้เหมือนเติมน้ำมัน กำลังใจต้องสร้างเองนะครับ ถ้าท่านจะ "กลับมาได้" ก็ต้องกลับมาเองครับ
การจ้างงาน เป็นความพอใจร่วมกันทั้งนายจ้างและลูกจ้าง เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่พอใจ สภาพของการทำงานร่วมกันก็จบลง; การจ้างงานเป็นการตกลงกันล่วงหน้า และพอใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย
ควรจะมี "เหตุผล" อะไรอีกครับ
ตัวกู-ของกู
ถ้าจะอยู่ ในโลกนี้ อย่างมีสุข
อย่าประยุกต์ สิ่งทั้งผอง เป็นของฉัน
มันจะสุม เผากระบาล ท่านทั้งวัน
ต้องปล่อยมัน เป็นของมัน อย่าผันมา
เป็นของกู ในอำนาจ แห่งตัวกู
มันจะดู วุ่นวาย คล้ายคนบ้า
อย่างน้อยก็ เป็นนกเขา เข้าตำรา
มันคึกว่า "กู-ของ-กู" อยู่ร่ำไป
จะหามา มีไว้ ใช้หรือกิน
ตามระบิล อย่างอิ่มหนำ ก็ทำได้
โดยไม่ต้อง มั่นหมาย ให้อะไรๆ
ผูกยึดไว้ ว่า "ตัวกู" หรือ "ของกู"ฯ
บันทึกนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการลาออกของใครทั้งสิ้น ผมเริ่มร่างไว้ตั้งแต่ 29 ก.พ. 2551 เป็นเรื่องที่น่าพูด แต่มักไม่ค่อยพูดกันเพราะดูเป็นแง่ลบ -- ถ้าท่านคิดว่าผมหมายถึงผู้ใดเป็นการส่วนตัว ท่านก็เดาผิดเช่นกัน เพราะเรื่องเฉพาะบุคคลนั้น ผมไม่เขียนในบล็อกแต่จะเลือกช่องทางสื่อสารอื่นแทน
อรุณสวัสดิ์ครับคุณ conductor
แวะมาอ่านเช่นเคยกับ blog ยอดนิยมของผม
ภาวะ burn out เป็นสิ่งที่เจอบ่อยในองค์กร และนำมาซึ่งการเลือกที่จะเปลี่ยนที่ทำงานหรือเปลี่ยนงาน (องค์กรผมนิยมย้ายมากกว่าลาออก) อพยพจากปัญหาเดิมไปเจอปัญหาใหม่
ก็ไม่รู้ว่าวิธีการหนีปัญหาคือสัญชาตญาณในจิตใต้สำนึกเวลาที่พ่ายแพ้หรือเปล่าเลยทำให้คนเลือกวิธีนี้เวลาที่ "รู้สึกทำอะไรไม่ได้"
ผมเองเคยมีความรู้สึกนี้ และพบว่า มันก็เป็นเช่นนั้นเอง ผมเลือกเปลี่ยนตัวเองมากกว่าเปลี่ยนคนอื่น
"ทำตัวเองให้มีศักยภาพที่จะมีความสุขง่ายขึ้น มากกว่าศักยภาพในการหาความสุข"(วาทะของท่านเจ้าคุณ พระพรหมคุณาภรณ์)
มีทางไหนที่จะลาออกไหม ของผมมีอีกทางเลือกครับ ไปบวชสักพรรษาท่าจะดีนะ
สวัสดีค่ะ
เข้ามาอ่านหาความรู้ การหนีไปเรียนต่อ...ใช่การลาออกชั่วคราวหรือเปล่านะ
หมอโรจน์: ผมคิดว่าภาวะ burn out เกิดจากความไม่สมดุลย์ระหว่างความคาดหวังและความเป็นจริงครับ
ความคาดหวังนั้นควบคุมได้เพราะว่าเกิดใจใจเราคนเดียว แต่ความเป็นจริงนั้นควบคุมยากกว่าเพราะเกี่ยวข้องกับคนหลายคนและหลายเรื่องที่ควบคุมไม่ได้ ดังนั้นเราจึงเปลี่ยนความคาดหวังให้สอดคล้องกับความเป็นจริง ได้ง่ายกว่าเปลี่ยนความเป็นจริงให้สอดคล้องกับความคาดหวัง
งานการไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ดั่งที่ตั้งใจถ้าขาดอิทธิบาท ๔ ครับ อิทธิบาท ๔ เริ่มในใจเรา แล้วก่อให้เกิดเป็นการกระทำ
อาจารย์คนไร้ราก: การหนีไปเรียนต่อ เป็นการหนีครับ แม้แต่ Sabattical Leave ก็อาจเป็นการหนี (extended holiday) ถ้าไม่ได้เป็นไปเพื่อการแสวงหา "เนื้อหา" ใหม่
ขออนุโมทนาด้วยครับป้าแดง
ที่ไหนๆ ก็มีปัญหาด้วยกันทั้งนั้นล่ะครับ หากเราทำประโยชน์ได้ และตั้งใจเปลี่ยนสังคมไทยให้เป็นสังคมแห่งการกระทำกันอย่างจริงจัง เมืองไทยก็มีหวังครับ
การลาออกคือการเปลี่ยนชุดของปัญหาเท่านั้นเอง สู้อยู่กับปัญหาที่เราเข้าใจ ดีกว่าสู้กับปัญหาที่เราไม่เข้าใจครับ
ปล. อย่างเรียกผมว่าอาจารย์เลยนะครับ ไม่ได้เป็นจริงๆ
สวัสดีค่ะ
เรื่องการลาออกนี่ มีประสบการณ์กับตัวเองเต็มๆ 2 ครั้งเลยค่ะ ขอเล่าหน่อยค่ะ
ครั้งแรก ลาออกไปเรียนต่อ ไปทั้งครอบครัว พาลูกไปเรียนด้วย ทางโรงเรียนลูกบอกว่า ออกแล้ว กลับมาไม่ได้ คือร.ร.เซ็นต์คาเบรียล กลับไปนอนคิด 2 คืน แล้วกลับไปบอกท่านอธิการว่า...ขอจ่ายค่าเทอมล่วงหน้า 2 ปี หมายเลขประจำตัวของเด็กยังอยู่ เดี๋ยวกลับมา จะขอเข้ามาใหม่ สรุป แก้ปัญหาได้
และเป็นตัวอย่าง ให้พ่อแม่รุ่นหลังๆอีกด้วย เลยทำแบบนี้กันอีกเยอะ ส่วนตัวเอง ลาออกชั่วคราว ได้กลับเข้าไปใหม่ เหมือนเดิมทุกประการ เรื่องนี้ ไม่มีเหตุผลอื่น นอกจาก อยากเรียนต่อค่ะ ยังสนุกกับงานมากๆ
อีก 4 ปีต่อมา ก็ยังสนุกกับงานเหมือนเดิม ก้าวหน้าดี ทุกอย่างดีหมด แต่ไม่อยากเป็นลูกน้องใคร อยากเป็นตัวของตัวเองเต็มร้อย และพอดีได้แรงหนุนจาก ผู้ถือหุ้นคนอื่นๆ ว่า กิจการที่กำลังลงทุนทำนี่ ต้องไม่ใช่ week- end manager มิฉะนั้น ก็อย่าทำเลย ทุกอย่างจะเสียเปล่า ก็เลยตัดสินใจออกมา ยื่นใบลาออกล่วงหน้า 3 เดือน
นี่คือCross road ของตัวเองค่ะ คนเราไม่ควรลาออกเพราะ เบื่อ หรือน้อยใจ ใจเสาะ หรือจาก อารมณ์ความรู้สึกส่วนตัว มากกว่าเหตุผลที่เป็นหลักการ หรือฟังขึ้นหน่อย
แต่ขอนอกประเด็นนิดหน่อยค่ะ ทุกอย่างเป็นเหรียญ 2 ด้าน
สำหรับในด้านของผู้บริหารหรือองค์กร อัตราการลาออก มีส่วนสัมพันธ์กับขวัญและกำลังใจของบุคลากรมาก ในองค์กรที่มีอัตราการขาดลาออกต่ำ บุคลากรจะมีขวัญและกำลังใจดี ส่วนองค์กรที่มีอัตราการลาออกสูง จะมีขวัญและกำลังใจที่ไม่ดีค่ะ
สวัสดีค่ะ
พี่ศศินันท์: สมัยนี้ รู้สึกว่าคนไม่ค่อยอดทนกันนะครับ คงเป็นเพราะชีวิตสบายเกินไป หรือแสวงหามาไปจนเกินตัว-เกินความจำเป็น ไม่รู้จักพอ มีมากเกินไปก็ใช้ไม่หมดอยู่ดี
ผมลาออกมาแล้วจากสององค์กร กับบริษัทไทยใช้เวลา 11 เดือน กับบริษัทฝรั่งใช้ 3 เดือนครับ
อ้อ ยังมี mid-life crisis อีกครับ เริ่มถามหาคุณค่าที่แท้จริงของตน
อาจารย์ศิริพร: การไปเรียนต่อคือการพัฒนาตนเอง แต่การหนีไปเรียนต่อคือการหนีครับ (อาจารย์คนไร้รากคงไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แต่ผมมักมองในรายละเอียดด้วยครับ)
อ้าวนี่เราก็ใกล้ถึงช่วง mid-life crisis แล้วนี่นา แล้วจะลาออกไปไหนดีเนี่ย มิน่าช่วงนี้สับสนชีวิต จะลาออกกับตัวเองก็ดูงงๆ จะไปทำธุรกิจใหม่ก็ไม่รู้ว่าสามารถหรือเปล่า หรือจะทำอะไรเพิ่มก็ยังจัดเวลาชีวิตไม่ได้ - - "
mid-life crisis เท่าที่เห็น ผู้ชายมีผลกระทบมากกว่าผู้หญิงค่ะ
ถ้าเราพูดถึงเฉพาะ การทำงาน บางคนในวัยนี้ ก็มักจะถามตัวเองว่า เราได้ทำอะไรที่อยากทำหรือยัง บางทีก็เกิดความเครียด ความเบื่อต่อสภาวะแวดล้อมเดิมๆขึ้นมา จนบางคนเกิด a series of sudden and violent changes of behaviour.
บางตำราว่า ส่วนหนึ่ง เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนด้วย
คนที่อยู่ในวัยนี้ มักต้องการการเปลี่ยนแปลง และข้อเสนอที่ยืดหยุ่นจากกิจการมาก เช่น ตารางเวลาทำงานที่ปรับเปลี่ยนได้
การกำหนดโลเกชั่นของการทำงานที่เหมาะสม กับไลฟ์สไตล์ของตน การประเมินผลที่มุ่งเน้นผลของงานเท่านั้น เป็นต้น
แต่ส่วนใหญ่ก็ผ่านช่วงชีวิตนี้ไปได้อย่างไม่ยากลำบากค่ะ
ผมเชื่อจริงๆ นะครับ ว่าคนเราเกิดไม่ว่าจะทำอะไร ก็ควรมีเป้าหมาย ถ้าหากไม่มีเป้าหมายแล้ว เราก็ไม่สามารถจะประเมินได้ว่าสิ่งที่ทำอยู่มีคุณค่าพอหรือไม่
จริงอยู่ที่เราสามารถเลือกทำไปเรื่อยๆ สบายๆ ก็ได้ แต่อาการอย่างนั้น ดูจะเรื่อยเจื้อยเลื่อนลอยเกินไปครับ
สิ่งที่ยากคือการชั่งน้ำหนักระหว่างคุณค่าที่ตั้งความหวังไว้ กับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นรอบตัว mid-life crisis อาจเป็นความไม่สมดุลย์ระหว่างการประเมินศักยภาพของตน กับศักยภาพ(และการจัดการกับข้อจำกัด)ที่แท้จริง
เมื่อเกิดความไม่สมดุลย์ หนักๆ เข้า ก็เปลี่ยนเป็นความคับข้องใจ หากจิตใจไม่เข้มแข็งพอ เก็บกดไว้นานๆ ไม่หาทางระบายออกบ้าง สักวันหนึ่งก็ระเบิดออกมา
คำถามการจัดการที่ตอบยากที่สุด คำถามนี้คล้ายๆ กับจุดมุ่งหมายคืออะไร เป้าหมายคืออะไร ปัญหาคืออะไร ความสุข-ความพอใจคืออะไร ความดีคืออะไร ความถูกต้องคืออะไร คุณค่าคืออะไร
ไม่น่าจะมีคำตอบคำตอบเดียวที่ตอบคำถามได้อย่างหมดจดครอบคลุมทุกประเด็น เพราะว่าผู้ที่ฟังคำตอบต่างมองจากบริบทที่แตกต่างออกไปเสมอ ทำให้คำตอบที่ดีของผู้หนึ่งอาจไม่ใช่คำตอบที่ดีเลยสำหรับผู้อื่น
แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่ากลัวกว่าการหาคำตอบที่ดี คือการเข้าใจว่าควรจะถามอะไรครับ ถ้าแม้ตั้งคำถามยังไม่ได้ จะไปหาคำตอบได้อย่างไร จะเข้าใจแก่นแท้-เป้าหมายได้อย่างไร จะประเมินคุณค่าของคำตอบได้อย่างไร
สวัสดีครับ
มาร่วมแบ่งปันกับอาจารย์ เพราะว่าเคยมีประสบการณ์ ในการลาออกครับ
การลาออก..คงเป็นสภาวะจิตของเราตอนนั้นที่อ่อนสุดๆ ไม่สามารถหาหนทางอื่นๆได้
เพราะว่า เราอาจจะอ่อนแอและขาดพลังที่จะหลุดออกมาจากความคิดตรงนั้น
เรื่องจริงของผมตอนนั้นคือ
แบบว่าเด็กขึ้นใจน้อย น้อยใจ
หรือว่าเสียใจกับสิ่งที่เราคาดหวัง ผิดหวังหรือว่าอาจจะเจ็บปวดกับบางเรื่องนะครับ
ผมว่า มันเป็นวาระองเรา ณ ตอนนั้นๆ
ถ้าต้องออก จริงๆ ก็คงเป็นเช่นนั้นจริงๆ
แต่ถ้า...เราสามารถหยุดได้..ก็น่าจะแปลว่าดีขึ้นนะครับ (กล่าวในกรณีที่เราไม่ได้ผิดอะไรจริงๆ)
การเดินทางของชีวิต ของงาน ของความคิด ความรู้สึกนั้น ถ้าไม่เข้มแข็งและรู้ทันตัวตนของเราเองนั้น ก็ลำบากเช่นกันครับ
ช่วงนี้ก็มีเรื่องฮึ่มๆ จะออกเล็กๆ เหมือนกัน และว่าผมก็น่าจะยังไม่โตเท่าที่ควรครับ ยังมีความรู้สึกแบบเด็กน้อยอยู่...
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ
สับสนที่สุดในชีวิตเลยค่ะ จะทำไงดีอยู่ก็หมดใจไปก็กลัวร้อยแปด อยากได้คำปรึกษาที่เข้าใจเราในสิ่งที่เราไม่เข้าใจตัวเอ