การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในเวทีDW ครั้งที่ 3 ตอนที่2 นี้ซึ่งจะขอเล่าต่อจากตอนที่1นะครับ
การจัดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในเวที DW ของสายที่ 2 อำเภอขาณุวรลักษบุรีเป็นเจ้าภาพ สถานที่จัด ณ.ห้องประชุมองค์การบริหารส่วนตำบลยางสูง ในช่วงแรก ทางเจ้าภาพได้เชิญเกษตรกรผู้มีประสบการณ์ในการทำสวนส้ม จำนวน 3 ราย มาเล่าประสบการณ์ ให้ฟังพร้อมเปิดโอกาสให้นักส่งเสริมการเกษตร ได้ซักถามและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน
คุณแรก คือคุณพงษ์ศักดิ์ จันทร์มงคลซึ่งทำสวนส้มมาแล้วไม่น้อยกว่า 2 0 ปี ได้เล่าประสบการณ์และสถานการณ์ในการปลูกส้มในชุมชนยางสูง ว่าตนเองได้ย้ายพื้นที่การปลูกส้ม จากเดิมเคยปลูกในจังหวัดปทุมธานีมาก่อน แล้วได้ย้ายมาปลูกที่หมู่ที่ 7 บ้านคลองวน ต.ยางสูง อ.ขาณุวรลักษบุรี จำนวน 90 ไร่เศษ โดยเริ่มปลูกเมื่อปีพศ. 2544. แต่ก็เก็บผลผลิตไปแล้ว 2 คราว ผลผลิตที่ ประมาณ 300 ตันเศษ
จากการที่ทำสวนส้มมาพบใช้ มีการใช้ทุนซึ่งจะต้องไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการดูแลและรักษาส้ม ตั้งแต่ปลูก การให้น้ำ การใส่ปุ๋ย การป้องกันและกำจัดศัตรูพืช การกำจัดวัชพืช การตัดแต่งกิ่ง จะต้องเตรียมเงินทุนไว้ไม่น้อยกว่า ไร่ละ 30,000 บาท ส้มที่ปลูก ส่วนใหญ่จะเป็นพันธุ์เขียวหวาน และโชกุน แต่ปัจจุบันได้เลิกปลูกส้มโชกุนไปแล้ว เพราะ ผลผลิตที่ได้ไม่คุ้มกับการลงทุนไป สำหรับส้มเขียวหวานก็พบบางต้นเกิดโรคกรินนิ่ง ก็ต้องขุดทำลายทิ้ง แล้วจึงปลูกทดแทนใหม่ แต่ปัจจุบันยังรักอาชีพปลูกส้มอยู่ แต่ก็จะลดพื้นที่ปลูกลง ได้นำยางพารามาปลูกทดแทนบางส่วน สาเหตุที่ลดพื้นที่ปลูกส้มลงเพราะว่าราคาส้มจะไม่ค่อยแน่นอนคงที่ บางช่วงราคาจะตกต่ำ
คุณสงคราม โอวาท เกษตรกรรายย่อยผู้เลิกทำสวนส้มไปแล้ว ได้เล่าว่า ตนเองเป็นเกษตรกร ซึ่ง เดิมประกอบอาชีพทำนา อยู่หมู่ที่ 10 ตำบลป่าพุทรา อ.ขาณุวรลักษบุรี เมื่อปี 2546 ได้ตัดสินใจปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนา มาปลูกส้ม โดยปรับระบบเป็นการปลูกแบบยกร่อง ในปลายปี 2547 เก็บผลผลิตส้ม ขายได้ประมาณ 100,000 บาทเศษ แต่ก็ยังไม่คุ้มทุน เนื่องจากช่วงแรกของการปลูกส้มการลงทุนครั้งแรก ได้กู้ยืมเงินมาจากแหล่งทุนเพื่อทำการปลูกส้มโดยเฉพาะ แต่พอมาปี 2548 ส้มเกิดอาการผลร่วง และราคาส้มก็ตกต่ำ ขายได้เพียง กก.ละ 2-3 บาท เนื่องจากคุณภาพของผลก็ไม่ได้คุณภาพ ทำให้ตนเองและครอบครัว เริ่มมีหนี้สินมาขึ้น ในขณะเดียวกัน เกษตรกรรายย่อยเพื่อนๆที่ปลูกส้มด้วยกัน มาประสบผลสำเร็จในการปลูกส้ม บางราย ก็ขายที่ดินไปใช้หนี้ บางรายทุกวันนี้ยังติดค้างค่าปุ๋ย ค่ายา อยู่เลย เกษตรกรรายใหญ่บางรายที่ย้ายมาจากจ.ประทุมธานี ได้มาเช่าที่ดินเพื่อการปลูกส้ม แต่ปัจจุบันพบปัญหา เลิกทำส้มแล้วไม่คุ้มทุน จึงย้ายหนีไปก็มี โดยเกษตรกรเจ้าของที่ดินยังไม่ได้ค่าเช่าที่ดินครบเลย ณ.ปัจจุบันนี้ ตนเองพร้อมด้วยเพื่อนบ้านหลายคน ในเขตตำบลป่าพุทรา ได้ปรับเปลี่ยนจากส้ม ไปปลูกข้าวโพดฝักสด ซึ่งมีอายุในการเก็บผลผลิตสั้น ประมาณ 65 วัน ก็ขายได้แล้ว ราคาดี ทำแล้วเห็นกำไร ตลาดมีความต้องการ ปัจจุบันมีเกษตรกร ที่ปรับเปลี่ยนมาปลูกข้าวโพดฝักสด ได้เงินคืนเพื่อทดแทนการลงทุนที่เคยจ้างรถแบร็คโคมาทำการขุดร่องปลูกส้มแล้ว
คุณสมชาย สังคม เกษตรกรรายย่อยที่เลิกปลูกส้ม แล้ว ได้เล่าให้ฟังว่าตนเอง เดิมประกอบอาชีพปลูกมะลิเพื่อจำหน่าย อยู่หมู่ที่ 3 บ้านกล้วย ต.ยางสูง อ.ขาณุวรลักษบุรี ก็พอเลี้ยงครอบครัวอยู่ได้ แต่ต่อมากระแสของการปลูกส้มแรงมากช่วงปี 2546-2547 ได้ปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกส้ม ไปเป็นมะลิ แทน การปลูกส้ม เมื่อทำการปลูกส้มไประยะหนึ่ง แล้วก็ประสบปัญหา ในการลงทุน มีทุนน้อย ประกอบกับราคาส้มก็ตกต่ำ ไม่แน่นอน หากยังทำส้มอยู่ต่อไป จะทำให้ครอบครัวเป็นหนี้สินเพิ่มมากขึ้น ณ.ปัจจุบันนี้ได้ปรับเปลี่ยน จากส้ม มาเป็นมะลิ ตามเดิม เพราะมีความรู้อยู่แล้ว รายได้ก็จะพอเลี้ยงตัวได้ ขณะนี้มะลิ มีอายุ 6 เดือน
จากนั้นเราได้ดำเนินการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ต่อ โดยให้นักส่งเสริมการเกษตร ของสายที่ 2 ที่มีประสบการณ์ลงปฏิบัติงานใกล้ชิดกับเกษตรกรในพื้นที่ ที่มีการปลูกส้ม ได้มาเล่าสถานการณ์ การปลูกส้มของแต่ละพื้นที่ ประกอบด้วย คุณประทักษ์ ธรรมนิทัศนา (รับผิดชอบต.ป่าพุทรา อ.ขาณุวรลักษบุรี) คุณสวัลส์ ขาวทอง (รับผิดชอบ ต.สักงาม อ.คลองลาน ) คุณสังวาลย กันธิมา (รับผิดชอบ ต.วังแขม อ.คลองขลุง ) คุณนิวัฒน์ บุษบงค์ (รับผิดชอบ ต.ทุ่งทราย อ.ทรายทองวัฒนา )และคุณ มณวิภา เพ็ชรักษ์ (รับผิดชอบต.โพธิ์ทอง อ.ปางศิลาทอง )
จากการเล่าสถานการณ์การปลูกส้ม ของแต่ละตำบลแล้ว พอที่จะเห็นการที่เกษตรกรผู้ปลูกส้มได้มีการปรับเปลี่ยนจากการปลูกส้ม ไปเป็นพืชอื่นๆทดแทนการปลูกส้ม ได้แก่ อ้อยโรงงาน มันสำปะหลัง ยางพารา ปาล์ม มะละกอ ข้าวโพดฝักสด ข้าว( โดยปรับพื้นที่ใหม่ ) มะลิ และพืชผัก
ณ.วันนี้นักส่งเสริมการเกษตรผู้ปฏิบัติงานอยู่ใกล้ชิดเกษตรกร ต้องการ ความชัดเจน หรือแนวทางการผลิตพืช ตลอดการเสริมหนุนของหน่วยงาน องค์กร ภาคี ที่เกี่ยวข้องทุกระดับ เพื่อส่งเสริมและพัฒนาอาชีพของเกษตรกร ที่อยู่ในชุมชนต่างๆ ถ้าหากการผลิต ของพืชที่มีปัญหาอยู่ในปัจจุบัน ผู้เกี่ยวข้อง ในระดับต่างๆ ให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาน้อย การทำงานเชิงบูรณาการ ของทุกภาคส่วนยังมีน้อย หากเราต่างคนต่างทำ ปัญหาที่เกิดขึ้นใครจะลงไปแก้ไข หรือจะแก้ไขทั้งระบบอย่างจัง อย่างไร หากจะให้แต่ ฝากความหวังให้นักส่งเสริมการเกษตร ตัวน้อยๆ ได้ลงไปแก้ไขกันเองนั้น คงจะแก้ไขไม่ได้ทั้งหมดหรอกครับ คงจะต้องให้กำลังใจและเสริมหนุนการทำงานกันต่อไปนะครับ
สวัสดีค่ะ...พี่เขียวมรกต
หวัดดีครับ
สวัสดีครับ
สวัสดีค่ะ...พี่สายัณห์
สาวหละปูนเจ้า