เรียนขี่ม้า ก็ต้องเรียนรู้คุณครูด้วย...ทั้งครูสี่ขา และครูสองขา


สิ่งที่ได้จากการเรียนขี่ม้า ไม่ใช่แค่การขี่ม้าเพียงอย่างเดียว ถ้าเบิกตาโพลงๆให้กว้างขึ้น พิจารณาดูดีๆ รูปแบบและวิธีการสอนของครูก็เป็นเรื่องน่าสนใจไม่แพ้เนื้อเรื่องที่เรียน บางทีการจับทางการสอนของครูได้ก็อาจช่วยให้เราได้ความรู้-ความเข้าใจมากขึ้น สิ่งสำคัญของการเรียนคือความรู้ในสิ่งที่เรียน มิใช่สอบผ่านหรือตก

บันทึกนี้คงต้องคั่นความต่อเนื่องของบันทึกก่อนๆไปก่อน...เพราะไม่งั้นเดี่ยวหายตื่นเต้นแล้วจะเขียนไม่ออก

การได้มาอยู่ในประเทศออสเตรเลียถือว่าเป็นโอกาสดีมากเลยที่จะได้เรียนรู้เรื่องม้าๆ สังคมคนรักม้า นิยมการเลี้ยงม้า และกีฬาขี่ม้าที่นี่เป็นสังคมที่ใหญ่กว่าในเมืองไทยมาก ธุรกิจด้านม้าเป็นธุรกิจทำเงินระดับต้นๆให้กับประเทศ (ถึงแม้ว่าธุรกิจด้านการแข่งม้า และการพนันที่มาคู่กันนั้น อาจจะแบ่งส่วนแบ่งของธุรกิจม้าประเภทอื่นๆไปมากอ่ะนะ)

วันเสาร์ที่ผ่านมาได้ไปเรียนขี่ม้ากับคุณครูฝรั่ง ...ไม่ได้ตั้งใจไฮคลาสหรือไฮโซ แต่ที่เรียนกับคุณครูฝรั่งเพราะอยู่เมืองเค้า จะหาครูไทยให้ผลิกประเทศหาแค่คิดก็เหนื่อยซะแล้ว เอาเป็นว่าเข้าใจนะ ยังรักเมืองไทยอยู่ แต่ใจมันใฝ่ศึกษาม้า ... ต่อ ... โรงเรียนขี่ม้าที่ไปชื่อ Cheval Equitation จัดตั้งและดำเนินการโดยสองสามีภรรยา "ลูอิส และ เลนซี่ เมนซี่" ขี่ม้าทั้งคู่ ช่วยกันทำมาหากินดี "ลูอิส" ทำหน้าที่สอน ส่วน "เลนซี่" ดูแลเรื่องออฟฟิศ และลูกค้า ค่าเรียนขี่ม้าที่นี่โหดมาก ทุกที่ราคาพอๆกันหมด ที่นี่เรียนตัวต่อตัว ครึ่งชั่วโมง ราคา 50 ดอลล่า-ออสเตรเลีย เป็นพันบาทอ่ะ ฮื่อๆ ...ชีวิตเด็กนอกไม่ได้สวยหรู เนี่ย...หั่นผักหั่นปลา ล้างจาน ทำงานในครัวจนกลิ่นตัวเป็นกลิ่นผัดไทยผสมผัดกระเพรากับแกงเขียวหวาน เพิ่งได้ตังค์มาเรียนขี่ม้าแค่ครึ่งชั่วโมง อยู่เมืองไทยแค่นั่งเก้าอี้ให้ก้นบาน เลิกงานก็แต๋ดแต๋ดไปขี่ม้า พูดแล้วรู้สึกว่าชีวิตจะไฮกว่าอยู่เมืองนอก แต่ถึงจะโหดแต่สิ่งที่ได้กลับมามัน มันส์ฮา และคุ้มกว่า...ในแง่มุมที่ต่างไป

ถึงโรงเรียนจะมีสอนเป็นกลุ่มที่ราคาถูกกว่า แต่พอได้เรียนตัวต่อตัวแล้วเข้าใจล่ะว่ามันก็สมควรแพงกว่าอยู่ล่ะ และมันก็น่าเรียนกว่าแบบกลุ่ม เอาล่ะมาเริ่มที่บทเรียนเลย สิ่งแรกที่ลูอิสให้ความสำคัญมากที่สุด ของที่สุดเลยคือความปลอดภัยของผู้ขี่ม้า เค้าจะย้ำอยู่ตลอด และสิ่งแรกที่เค้าสอนนักเรียนที่ไม่เคยขี่ม้าเลยคือให้เข้าใจม้า เพื่อให้ปลอดภัยกับตัวนักเรียนเอง เค้าใช้เวลาประมาณ 10 นาที พูดคุยกับนักเรียน เป็นการสอนที่เป็นแบบคุย คือนักเรียนก็ต้องโต้ตอบด้วย ประโยคแรกที่เค้าถามนักเรียนที่ไม่เคยคลุกคลี่กับม้าเลยคือประโยคคำถาม "คุณจะ pad(ตบเบาๆ) ม้าตรงส่วนไหนของม้า" แล้วเค้ารอคำตอบ ตอบมาเหอะคิดว่าตรงไหน แล้วเค้าจะถามว่าทำไมถึงตอบว่าตรงนั้น นักเรียนต้องคิดว่าเออ..ทำไมล่ะ จากคำตอบของนักเรียนเค้าถึงจะเริ่มอธิบายว่าทำไมถึงควรและไม่ควร หนึ่งจุดแล้วที่สังเกตุการสอนของเค้า

ต่อมาถึงคราวเราเรียน วันนี้เค้าจะทดสอบว่าการขี่ม้าของเราอยู่ระดับไหน อนุบาล ประถม หรือมัธยม... เรื่องที่สำคัญสำหรับคนสอนคือต้องรู้ความสามารถของนักเรียน แล้วถึงแก้ไขและต่อยอดออกไป เราก็สังเกตุการสอนของเค้าอีก เค้าให้เราขี่ม้าวอร์มอัพกันซัก 6 รอบสนาม หยุด แล้วถามเราว่า รู้สึกยังไง ม้าตัวนี้เป็นยังไง อธิบายให้เค้าฟังหน่อย...เหอะ เหอะ อะไรเหรอ มายรู้อ่ะ เค้าบอกให้ขี่วอร์มอัพ เราสักแต่ขี่ล่ะ... ม้าเป็นไงก็ไม่รู้ เค้าเลยแนะว่าเวลาวอร์มอัพเนี่ยเป็นเวลาที่เราควรเช็คม้าและตัวเอง ว่าม้าตัวนี้เป็นม้าที่ต้องขี่แบบไหน เช็คอุปกรณ์ สายโกลนยาวไปไหม นั่งสบายไหม สายรัดทึบหย่อนไหม ต้องปรับเองทุกอย่าง คุณครูไม่แตะ ในช่วงสุดท้ายของเวลาเรียน เค้าให้ canter (จังหวะวิ่งของม้า ประมาณเกียรสามของรถยนต์) ขี่เสร็จ ลูอิสก็ถามอีก ให้เราอธิบายว่าเราเองขี่เป็นยังไงดูจากตัวเองและม้าน่ะ...เห่อ เห่อ.. เราคิดในใจ ฉันเป็นนักเรียนนะ ทำไมครูดูอยู่ไม่บอกล่ะว่าเราขี่เป็นไง อะไรผิดหรือถูก แต่ก็ถูลู่ถูกังตอบไปตามที่พอจะจำได้ว่าเป็นยังไง บางอย่างตอบไม่ได้ ลูอิสเลยถามว่าเราเป็นคนตาบอดขี่ม้าเหรอ... โห้..ป่าวนะ ลูอิสเลยให้ไปอีกสองรอบ คราวนี้เริ่มรู้ตัว และจับทางการสอนได้ อธิบายเป็นช็อทๆไป แต่ก็คิดอยู่ว่าถ้าเราสามารถวิเคราะห์ตัวเองได้มากกว่านี้ เราน่าจะเก็บรายละเอียดของตัวเอง และได้คำตอบหรือคำแนะนำจากลูอิสมากกว่านี้ แต่การเรียนวันนี้ก็ดี ลูอิสบอกว่าท่าทางการขี่ม้าดีใช้ได้ สิ่งที่แวบเข้ามาในสมองเลยคือ สิ่งที่ครูพล ...ครูสอนขี่ม้าที่เรารักและนับถึอมาก..ม๊าก.. เคยสั่งสอนมาด้วยเวลาเพียงไม่กี่วันที่เคยได้เรียนจริงจังกับแก ...เฮ้อ คิดถึงแกขึ้นมาทันที...


จังหวะแคนเตอร์ของม้า

source: www.ultimatehorsesite.com


วันนั้นกลับมาบ้านก็มานั่งคิด ไปเรียนขี่ม้าวันนี้เรารู้สึกตรงถึงตัวเองในสิ่งที่เราได้ยินได้อ่านบ่อยๆเกี่ยวกับการเรียนแบบรับเอา แต่ไม่มีการโต้ตอบทำให้ผู้เรียนไม่พัฒนานิสัยในการคิดวิเคราะห์ รู้สึกว่าวันนี้เห็นได้ชัดว่าเราจองจะรอรับอย่างเดียว ไม่คิดว่าครูจะถามให้เราต้องวิเคราะห์การขี่ม้าของตัวเอง

จริงๆเรื่องการคิดนี้ น่าสนใจ เราแปลกใจที่เวลาทำงานกลุ่มร่วมกับชาวออสซี่ เค้าจะคิดได้มากมาย หลากหลายเหลือเกิ๊น แล้วเร็วด้วย เราไม่สามารถคิดได้มากมายปรู๊ดปร๊าดเหมือนเค้า...ทำไม๊ ทำมาย...น่าสนใจ แต่คนต้องเก็บไว้ศึกษาและเขียนในบล๊อคใหม่ดีกว่า จะได้ไม่ตีกันกับม้า

หมายเลขบันทึก: 172582เขียนเมื่อ 23 มีนาคม 2008 21:44 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 18:52 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

โอ้โห เรียนแบบนี้สุดยอด ให้นักเรียนคิดเอง วิเคราะห์เอง เข้าใจและรู้สึกด้วยตัวเอง นี่แหละการเรียนแบบบูรณาการ เมืองไทยการศึกษาในระบบยังห่างไกลแบบนี้อีกเยอะมากๆ อนาคตของไทยคงตามก้นฝรั่ง(หรือเพื่อนบ้านที่ก้าวหน้ากว่า)แบบต้อยๆ

อ่านแล้วไม่ต้องบอกเชื้อชาติก้อรู้ว่า นักเรียนไทยแน่นอนชัวร์ป๊าป คิดอะไรไม่ทันใคร แต่ก็โทษเด็กไม่ได้(สาคูใบแมะก้อเป็นแบบนี้เหมือนกัน)แต่ได้ข้อคิดที่ดีมากเลยจะได้พยายามมาปรับใช้บ้าง ดีมาก ๆ เลย ขอให้เขียนแบบนี้บ่อย ๆ นะ

ดีใจจังที่มีครูแบบนี้ .. แบบที่เริ่มต้นสอนให้เรารู้จักตัวเอง และเพื่อน(คือใครก็ตามหรือสัตว์ที่เราต้องสัมพันธ์กับเค้าไม่ลักษณะใดลักษณะหนึ่งก็ตาม)เป็นสิ่งแรกซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเลย เพราะการที่เรารู้จักตัวเองอย่างถ่องแท้ และรู้จักลัษณะนิสัยของเพื่อนด้วย .. เป็นการสร้างสายสัมพันธ์ของการเห็นอกเห็นใจ เข้าใจกันและกันอย่างเหนียวแน่น เหนียวแน่น ขนาดที่ว่าความโกรธ ความเห็นแก่ตัว ก็ไม่มีแรงพอที่จะทำลายสัมพันธภาพนี้ได้ สนุกกับการเรียนรู้ตัวเอง(ทั้งกายใจ)และเพื่อนจ๊ะ :)ต้องใช้เวลาแต่คุ้มค่าจังเลย ป.ล. มีสุภาษิตจีนบอกไว้ว่า “ ผู้รู้จักตนเอง คือผู้รู้อย่างแท้จริง”

วันนี้มีโอกาสรับแขกสองแขก อย่างแปลกใจนิดหน่อย

รถสีดำทะเบียนอะไรไม่รุ(ไม่จำ) มีรูปหมาป่า(Fox) สองเธอขึ้นเหนือ(กทม-อุดร)

คุ้นไหม?

แวะเข้ามาอ่านค่ะ กำลังคิดจะไปเรียนขี่ม้าเหมือนกัน เลยขอเข้ามาเก็บข้อมูลหน่อยนะคะ

อ่านแล้วก็โดนใจ เรื่องระบบการสอนหนังสือของเมืองไทย อิอิอิ

แต่บางครั้งก็โทษครูไม่ได้นะ เพราะครูน่ะเงินเดือนน้อยนิด จบตรี เป็นครูเงินเดือนแค่ 7,000 บาท ใช้ชีวิตในกรุงเทพ นะเนี่ย

จบโท ก็หมื่นต้นๆ โอย ซี้ด จะเอาเงินที่ไหนไปผ่อนบ้าน เรื่องรถไม่ต้องคิดถึง แค่เอาชีวิตรอดไปวันๆ ก็ลำบากจะแย่อยู่แล้ว

ไหนจะงานหลวง งานราษฎร์อีก สารพัดกิจกรรมให้ครูร่วมด้วยช่วยกันทำ

เห็นครูแล้วก็สงสาร ยกย่องให้เป็นอาชีพมีเกียรติ (แต่ไม่มีตังค์ อิอิอิ) ชีวิตนี้ต้องกินต้องใช้นะ ไหนจะดูแลพ่อแม่แก่ชรา ไหนจะส่งเสียลูกเรียนหนังสือ ไหนจะค่ารักษาพยาบาล ไหนจะผ่อนบ้าน โอย ลำบากจริงๆ

ครูก็เลยต้องสอนแบบยัดเยียด ให้จบๆ เร็วๆ สักที แล้วจะได้รีบไปสอนพิเศษต่อดีกว่า จะได้ตังค์เพิ่มมาเป็นค่ากับข้าว 555

ชมรมขี่ม้าทหารม้ารักษาพระองค์

สวัสดีครับ ขอประชาสัมพันธ์ครับ ท่านใดสนใจการขี่ม้า หรืออยากเรียนขี่ม้าอยู่ใกล้สนามเป้า อนุสาวรีย์ชัย ก็ขอเชิญเข้าไปสอบถามได้ที่ ชมรมขี่ม้าทหารม้ารักษาพระองค์ จะมีเจ้าหน้าที่คอยแนะนำได้ครับ หรือโทร 02-2975107 www.horseguard.co.cc ครับ ขอบคุณครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท