วันนี้เป็นวันที่ 9 ในมหาชีวาลัยอีสานของข้าพเจ้าและเป็นแรกที่ไม่มีพี่ออต(พี่เลี้ยงในการฝึกงาน)คอยแนะนำว่าวันนี้พวกเราจะต้องทำอะไรกันบ้าง ดังนั้นวันนี้พวกเราจึงเริ่มงานแรกเหมือนเดิมเหมือนกับตอนที่พี่ออตอยู่คือ การให้อาหารหมูเหมยซาน ให้อาหารไก่แล้วจึงมารดน้ำผักและก็ทานข้าวเช้า(ทำกินกันเองครับ) หลังจากนั้นพวกเราก็ไปช่วยงานป้าสรกับน้าทินรดน้ำผัก ถอนหญ้า ใส่ปุ๋ยคอกให้ผักและก็ตัดแต่งกิ่งมะนาวแล้วจึงพักทานอาหารกัน และงานต่อมาคือการขนกิ่งและต้นมะนาวที่ตัดไปทิ้งและ ตัดต้นไผ่มาทำราวบันไดเสร็จจากนั้นก็มาให้อาหารหมู ให้อาหารไก่ และให้อาหารนกกระจอกเทศ
พอเสร็จก็ปาเข้าไป 5โมงเกือบ 6โมงเย็นแล้วแต่งานสุดท้ายของวันไม่ได้หมดแค่นี้ครับ พวกเรายังต้องมาช่วยน้าทินรีดนมจากแม่วัวแล้วนำมาให้ลูกวัวตัวที่ข้าพเจ้าเคยเล่าให้ฟังไปแล้วในก่อนหน้านี้(ตัวที่เกิดมาไม่มีหนังหุ้มข้อเท้าและไม่มีหนังที่ปาก)ซึ่งพวกเราไม่คิดว่ามันจะรอดมาจนถึงวันนี้แต่มันก็รอดมาและรู้สึกว่าตัวของมันเองก็มีความพยายามมากที่จะเอาชีวิตตัวเองให้มันอยู่รอดได้ ได้เห็นลูกวัวตัวนี้แล้วทำให้ข้าพเจ้าได้ข้อคิดจากลูกวัวตัวนี้ว่า การจะมีชีวิตรอดได้นั้นไม่จำเป็นจะต้องเกิดมาดีพร้อมหรือครบถ้วนเสมอไปแต่การจะมีชีวิตรอดได้นั้นต้องอาศัยความพยายามและความอดทนของตนเองจึงจะทำให้เราอยู่รอดได้ และนี้คือบันทึกของข้าพเจ้าในวันนี้แต่ก่อนจะจบข้าพเจ้ามีปรัชญาชีวิตที่ได้เจอจากการไปดูงานเมื่อวันที่ 11 ที่วัดของหลวงปู่ไหลมาฝาก
ชีวิตย่อมแปรผัน สิ่งสำคัญอย่าประมาท สิ่งผิดพลาดคือบทเรียน
สิ่งพากเพียรคือลาภผล สิ่งช่วยตนคือปัญญา สิ่งบูชาคือบุญคุณ
สิ่งค้ำจุนคือแม่พ่อ สิ่งสืบต่อคือครูอาจารย์ สิ่งเป็นมารคือความชั่ว
สิ่งเมามัวคือความอยาก พาให้ลำบากคือเกียจคร้าน ใจเบิกบานคือไม่มีหนี้
ความป่นปี้คืออบายมุข พาให้ถึงสุขคือธรรมะ เลิกวุ่นวายคือได้นิพพาน
สวัสดีค่ะน้องโต้ง
การจะมีชีวิตรอดได้นั้นไม่จำเป็นจะต้องเกิดมาดีพร้อมหรือครบถ้วนเสมอไปแต่การจะมีชีวิตรอดได้นั้นต้องอาศัยความพยายามและความอดทนของตนเองจึงจะทำให้เราอยู่รอดได้ ประทับใจพี่หนิงมากเลยค่ะ
สวัสดีครับ
มาขออนุญาตนำบทบันทึกไปรวมใน รวมตะกอน ขอบคุณมากครับ