ชื่นใจได้เรียนรู้...ที่..เพลินพัฒนา..


การเรียนรู้ของโรงเรียนเพลินพัฒนา จึงเป็นการเรียนรู้ที่ไม่ใช้เพียงแค่ให้รู้ แต่เป็นการเรียนเพื่อให้เข้าใจ เรียนเพื่อให้เป็น

         

          การมาเรียนรู้ที่โรงเรียนเพลินพัฒนาครั้งนี้  ผมได้เรียนรู้ ได้แนวคิดที่หลากหลาย ซึ่งเป็นจากการจัดการเรียนรู้ของโรงเรียน ที่มีการวางแผนการเรียนรู้ที่คำนึงถึงการบูรณาการหลายด้านเข้าด้วยกัน โดยการคึงนึงถึงบริบททางด้านสังคม  วัฒนธรรม ที่จัดสรรให้มีเนื้อหาเชื่อมโยง กับสภาพความเป็นจริง   ที่ให้นักเรียนได้เรียนทั้งทฤษฏีและลงมือปฏิบัติให้รู้ลึกรู้จริง  จนสุดท้ายสามารถสร้างหรือตกผลึกสิ่งที่ได้เรียนเป็นองค์ความรู้ของตนเอง แล้วยังสามารถถ่ายทอดให้แก่ผู้อื่นได้....

          โรงเรียนเพลินพัฒนา แบ่ง ภาคเรียนออกเป็น 4 ภาคเรียน แต่ละภาคเรียนมี 10 สัปดาห์ แบ่งเป็นการเรียนตามหน่วยวิชา 8 สัปดาห์ ส่วน 2 สัปดาห์สุดท้ายเป็นการตกผลึกหรือรวบรวมความรู้จากที่ได้เรียนมาทั้งเทอมมาทำเป็นโครงงาน โดยมีชื่อว่า ชื่นใจได้เรียนรู้ ...ซึ่งเป็นโครงงานที่ประมวลความรู้ทั้งหมดของนักเรียน...

          ครั้งนี้ผมไปที่โรงเรียนซึ่งตรงกับวันที่  นักเรียนนำเสนอโครงานพอดีครับ  ตอนแรกนึกในใจก็คิดว่าคงเป็นการนำเสนองานแบบธรรมดา ตามที่เคยเห็นทั่วๆไป ที่มีตัวแทนนักเรียน ยืนอยู่หน้าห้อง 2 -3 คน ยืนตัวแข็งๆ แล้วคอยอ่านข้อความที่ปรากฏจากจอ LCD ให้ฟัง..นี่คือ Paradigm เดิมของผม ที่จินตนาการไปล่วงหน้า...พอเดินมาถึงหน้าห้องที่จะนำเสนอผลงานตอนแรกก็เห็นเด็ก แต่งกายแบบธรรมดา บางคนก็ใส่เสื้อยืดแบบง่าย   แต่บางคนก็แต่งตัวเรียบร้อย   วิ่งเล่นกันอยู่หน้าห้อง  ตรงทางเข้าห้อง บอร์ดที่มีขาตั้ง  ตั้งเป็นแนวเฉียงนำสายตาเข้าสู่ห้องเสนอผลงาน บนกระดาษ มีข้อความเขียนว่า ชายขอบ Change the world” ยังครับยัง ผมยังไม่สำนึก ยังไม่เข้าใจความหมายของข้อความบนกระดานนั้น...

          ก่อนเข้าห้องเสนองาน  คุณหญิง   ผู้กำกับการถ่ายทำจาก  สคส.ก็ให้ผมทำหน้าที่พิธีกร โดยการสัมภาษณ์ ครูที่ประจำชั้นที่ผมจะไปดูการนำเสนองาน (ชั้น ม.1) ดูจากรูปร่างภายนอก   ถ้าผมเจอนอกโรงเรียนผมก็คงไม่เชื่อว่าเขาเป็นครู  เพราะตอนที่ผมเห็นครั้งแรกผมนึกว่าเขาเป็นนักเรียน ก็เห็นวิ่งเล่นอยู่กับเด็ก หน้าตาก็ยังดูเด็กๆ ท่าทางออกห้าวๆ แบบสาวห้าว เออ แต่ก็มีจุดที่เหมือนครูไหว (ใจร้าย) อยู่ตรงไฝ (หรือขี้แมงวัน) เม็ดใหญ่ ..ก็ทำหน้าที่พิธีกรสัมภาษณ์คุณครู  มารู้ชื่อทีหลังว่าครูตั้ม  หลังจากที่ได้พูดคุยสัมภาษณ์กันแล้ว ผมเชื่อโดยสนิทใจว่าคุณครูตั้ม  คือสุดยอดของความเป็นครูคนหนึ่งเลยครับ แม้หน้าตาจะดูเด็กๆ แต่ภูมิปัญญาความรู้ แนวคิด ไม่ได้เด็กเลยครับ...แล้วครูตั้มก็ชวนให้ผมเข้าไปดูการนำเสนอผลงานของนักเรียน ...

          พอเดินไปถึงหน้าห้องเสนองาน มีนักเรียนยืนอยู่ 2 ข้าประตู เหมือนเราเดินเข้าโรงหนังเลยครับ   เก็บตั๋วแล้วก็ปั๊มหลังมือ  ผมเดินไปกับครูตั้ม  ก็นึกเหมือนกำลังเดินควงสาวเข้าไปดูหนังทำนองนั้นแหละครับ ยิ่งพอเข้าไปในห้องเสนองาน ก้าวแรกที่เข้าไปผมยืนตะลึงครับ  เพราะจากภาพที่ผมเห็นนั้นไม่ใช่ภาพการนำเสนองานอย่างที่ผมคิดไว้แต่แรกเลย  กลับกลายเป็นเหมือนโรงละครครับ  ในห้องเรียนถูกแปลงให้เป็นโรงละคร  ด้านหลังห้องมีฉากที่ทำด้วยผ้าวาดรูปเป็นภาพตึก อาคารสูง และด้านหน้า นำเอากล่องกระดาษมาวางซ้อนกันและวาดเป็นเหมือนตึก ที่มีความสูงน้อยกว่าตึกที่วาดบนผ้า มองเห็นภาพ 3 มิติ มองไปด้านข้างมีการจัดฉากให้เป็นเมืองที่มีแต่ความแออัด เป็นแหล่งที่อยู่ของคนด้อยโอกาสของสังคมที่อาศัยอยู่รวมกัน วันดีคืนดีก็มีคนเอาขยะมาทิ้งในบริเวณที่พวกเขาอยู่กัน มองไปอีกด้านหนึ่งของห้องเรียน  มีนักเรียนชายอยู่ 2 คนทำหน้าที่ควบคุมเสียง ประกอบการนำเสนอ...และมีผู้ปกครอง นั่งรอชมการเสนองานอยู่เต็มห้องเลยครับ   หลังจากที่นักเรียนแนะนำตัวเรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มนำเสนอผลงาน....ผ่านการแสดงละคร...

          ละครที่นักเรียนนำเสนอวันนี้ผมสรุปได้สั้นๆว่าเป็นเรื่องที่สะท้อนภาพความเป็นจริงของสังคม  เริ่มที่ความแตกต่างของคนในสังคม ที่คนรวยจะได้รับอภิสิทธิ์จากการรับบริการ เช่นการไปหาหมอ คนรวยมาทีหลังแต่ลัดคิวได้ตรวจก่อน แต่คนจนหรือที่เขาเรียกกันว่าคนชายขอบ ไม่ได้รับการเหลียวแล  อีกภาพเป็นภาพที่สะท้อนแนวคิด จากกลุ่มคนที่ด้อยโอกาสในสังคม ที่อาศัยอยู่ที่กองขยะ คนที่อยู่ก็มาจากหลายที่หลายทาง มีทั้งคนติดยา คนขี้ขโมย คนพิการ การหากินก็มีทั้งลักเล็กขโมยน้อย ปล้นจี้ ที่เป็นปัญหากับสังคม  จนในที่สุดก็ไปพบเห็นชุมชนหนึ่งที่ใช้ขยะมาสร้างผลิตภัณฑ์ให้เกิดประโยชน์ จึงได้หวนคิดว่ากลุ่มตนเองก็อยู่กับขยะทำไมไม่เห็นค่า จึงได้ชวนกันมา คิดปรับปรุงการดำเนินชีวิตโดยการนำเอาขยะเหล่านั้นมาทำผลิตภัณฑ์ ให้เกิดคุณค่า จนชุมชนที่ดูสกปรกในตอนแรกกลับกลายเป็นชุมชนที่สะอาดหน้าอยู่  ทำให้คนอื่นเกิดความสงสัย ต้องมาเรียนรู้จากกลุ่มคนชายขอบเหล่านี้  แล้วนำเอาไปปรับปรุงแก้ไขให้สังคมเมืองมีสภาพที่ดีขึ้น  ขยะที่ถูกมองว่าเน่าเหม็น เป็นปัญหาของชุมชนเมืองก็กลายเป็นสิ่งที่มีค่า และยังลดปัญหาของสังคมลงได้อีก....เข้าใจแล้วครับ ว่า ชายขอบ Change the world ที่บนกระดานนั้นหมายถึงอะไร (อืม ต้องรอให้เด็กสอน...)

          การละครที่นักเรียนได้นำเสนอ สะท้อนให้เห็นถึง มุมมองของสังคม ที่มักมองด้านเดียว มองแต่ด้านที่เห็น ไม่คิดที่จะมองเข้าไปในความมืดเพื่อให้เห็นคุณค่าของสิ่งที่อยู่ในด้านมืดบ้าง ดังนั้นกระบวนการเรียนรู้ของโรงเรียนเพลินพัฒนา จึงเป็นเหมือนการฝึกสร้างมุมมองทุกๆด้าน  การเรียนรู้ของที่นี่จึงเป็นเหมือนแสงไฟที่ส่องเข้าใปในด้านที่มืด ที่ช่วยให้เห็นและเข้าใจต่อสิ่งที่อยู่ในด้านมืดนั้น ชัดยิ่งขึ้น ...การปรับเปลี่ยนมุมมอง ก็เหมือนกับการปรับทัศนคติของคนเรา ฉะนั้นผมจึงขอสรุปตามความเข้าของผมว่า การเรียนรู้ของโรงเรียนเพลินพัฒนา จึงเป็นการเรียนรู้ที่ไม่ใช้เพียงแค่ให้รู้   แต่เป็นการเรียนเพื่อให้เข้าใจ   เรียนเพื่อให้เป็น และยิ่งกว่านั้นเป็นการเรียนรู้เพื่อมุ่งสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงครับ เพราะหลังจากที่ผมได้คุยกับครู และได้เห็นการนำเสนอผลงานของนักเรียน ผมก็เปลี่ยนความคิดที่ผมได้คิดไว้แต่แรกแล้วครับ....

 

          ชื่นใจที่ได้เรียนรู้กับ เพลินพัฒนาครับผม....

คำสำคัญ (Tags): #เรียนรู้
หมายเลขบันทึก: 170644เขียนเมื่อ 13 มีนาคม 2008 08:50 น. ()แก้ไขเมื่อ 8 มิถุนายน 2012 15:02 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

สวัสดีค่ะ

- เห็นด้วยกับคุณค่ะ...ช่วงหนึ่งเคยร่วมงานกับครูและนักเรียนของโรงเรียนนี้

- นับเป็นอีกก้าวหนึ่งของการพัฒนาผู้เรียน...ที่น่าภูมิใจ

- จากครูโรงเรียนบางลี่วิทยา

สวัสดีค่ะ โรงเรียนเพลินพัฒนา เป็นโรงเรียนในฝันที่เป็นจริง

นับแต่ได้รู้จักเรื่องราวของโรงเรียนนี้และคุณครูผู้มีหัวใจเบิกบานในการสร้างการเรียนรู้แนวใหม่ พอพบใครที่คุยเรื่องการพัฒนาโรงเรียนจะต้องแนะนำให้เขาศึกษาเรื่องราวของโรงเรียนเพลินพัฒนาค่ะ

ขอบคุณค่ะที่เขียนถ่ายทอดให้ได้รู้กันเพื่อนำเรื่องราวความดีขยายไปให้รู้กันกว้างขวาง ซึ่งคงจะช่วยจุดประกายให้โรงเรียนอีกจำนวนมากนะคะ

อ่านดูแล้วก็ชื่นชมกระบวนการเรียนการสอน การสร้างเด็ก ฯลฯ ของโรงเรียนแห่งนี้เป็นยิ่งนัก

นึกเลยไปถึงสมัยที่ไปดูงานที่เดนมาร์ค ในโรงเรียนระดับ Kindergarten ที่ครูและเด็กมาเล่นละคอนกันกลางสนามในเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ แสดงบทบาทสมมุติกันเลย สนุกจะตายทั้งเด็กทั้งครู ดีกว่าท่องจำเป็นไหนๆ

กระทรวงศึกษาของเราปฏิวัติสิ่งเหล่านี้ได้ ประเทศเจริญอีกหลายเติบนะครับ ท่านภูคา 

ขอบคุณครับ

- คุณพรรณา ผิวเผือก ผมเองต้องใช้คำว่า "ศรัทธา"ต่อความเป็นครูของโรงเรียนนี้จริงๆครับ

คุณนายดอกเตอร์  สิ่งดีๆที่อยากถ่ายทอดจริงๆครับ เพื่อจะได้ช่วยกันพัฒนาระบบการศึกษาของชาติด้วยกันครับผม

บางทราย (คนเข็นครก ขึ้นภูเขา)  ก็หวังเช่นกันครับว่าที่จะปฏิรูปการศึกษาตามที่ได้ยินมาตั้งนานนั้นจะเป็นแบบนี้บ้างหรือเปล่าครับ...เน๊าะ..

โรงเรียนผมเอง

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท