[ภาพจาก wikipedia]
I am just wondering
if this is only true for a man who has already been told (and has accepted into his mind) which is(are) considered to be good and which is not.
ขอบคุณคุณกวินทรากรที่ติดตามบันทึกเป็นประจำค่ะ : )
สวัสดีค่ะคุณ Phankum ยินดีที่ได้รู้จักคะ
ความสงสัยของคุณ Phankum นี่เป็นคำถามที่คนถามบ่อยมากๆ คนพยายามตอบกันมากมาย แต่มัทว่ามันเป็นคำถามโลกแตกค่ะ ถ้าใช้มุมมองของปรัชญาทั่วไปหรือจากมุมมองของศาสนาที่เชื่อในการลงโทษหรือการให้รางวัล
เพราะว่าเค้ามองการกระทำว่า Good and Evil แบ่งได้ชัดเจน
มองกรรมเป็นผลของกรรมแทนที่จะมองว่ากรรมคิดการกระทำ
การตอบตัวเอง หรือ เชื่อคนบอกมา (กฎ ข้อบังคับต่างๆ) ว่าอะไรดี อะไรไม่ดีนั้นไม่สามารถใช้ได้ในทุกสถานะการ
--------------------------------------
มัทนำ quote นี้ของ Lincoln มาบันทึกไว้กันลืมเพราะว่ามันช่างคล้ายกับที่ท่านพุทธทาสเคยสอนไว้ค่ะ
ท่านสอนว่าให้ตัดคำว่า
"ได้" ออกจาก ประโยค "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว" แต่ให้เข้าใจใน อิทัปปัจจยตา/ปฏิจจสมุปบาท
ให้เข้าใจในความเกี่ยวข้องเป็นเหตุเป็นผลต่อเนื่องเชื่อมโยงกันของสรรพสิ่ง และการที่สิ่งทั้งหลายนั้นอาศัยกันและกันเกิดขึ้น (co-dependent origination)
ให้เข้าใจว่า กรรมคือการกระทำ
ที่จะมีผล (consequences/วิบาก) แต่ว่ามันมีหลายเหตุปัจจัยเหลือเกินในการท่ี่จะทำให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น
มองแบบนี้ก็ไม่ต้องไปตัดสินคนอื่นว่าอะไรดีไม่ดี จนกว่าจะมองได้ทั่วและเข้าใจว่ามันมีเหตุปัจจัยอะไรบ้าง
เช่น เด็กหนีเรียน เพราะเกเร หรือ พราะต้องไปช่วยแม่ขายของ หรือเพราะครูสอนไม่ดีเอง (จากเพลงอืนๆอีกมากมาย ของ เฉลียง)
--------------------------------------
เมื่อเราเห็นเช่นนี้เราก็จะเป็นคนที่ไม่ judgemental
ถ้าเราเชื่อศาสนาที่พระคัมภีร์บัญญัติไว้ว่าอะไร good อะไร evil แบบไม่ลืมหูลืมตา .... มีไม้บรรทัดที่ไม่ยืดหยุ่น น่าสงสารทั้งตัวเองทั้งคนรอบข้างออกค่ะ
เช่น เป็นเกย์ = ผิด = บาป
มัทเห็นเพื่อนที่เป็นเกย์ที่นิสัยดีมากๆต้องทุกข์มามากมายเหลือเกิน เพราะมีคนมองเค้าโดยใช้พระคัมภีร์เป็นเกณฑ์ แทนที่จะเข้าใจเค้าจากความเป็นคน จากนิสัย
--------------------------------------
นอกจากนี้ยังมีครูหลายท่านที่สอนว่า ให้นับกันที่เจตนา ณ วินาทีนั้นๆที่"กระทำ"อะไรซักอย่าง ให้ "สำรวจ" จิตใจตัวเองว่า
ขณะทำ จิตใจมีความโลภ โกรธ หลง มากเพียงใด?
กรรมก็เอียงไปทางอกุศลมากเท่านั้น ถ้าไม่มีกิเลศหรือถ้าเรารู้ตัวสู้กับมันทันก็รู้สึกดี
ถ้ารู้แล้วอยากหยุดแต่หยุดไม่ได้ กิเลศชนะก็รู้สึกไม่ดี
ส่วนผลระยะยาวมันจะเป็นอย่างไร ก็แล้วแต่เหตุปัจจัยของมัน
--------------------------------------
"This saying is only true for a man who has already grasp the concept of "(co-)dependent origination" of his action and also of the consequences of his action."
ไม่ทราบว่าหายงงหรือยิ่งงงเพิ่ม : P
คือ quote นี้คงไม่จริงและใช้ไม่ได้กับ นักการเมืองหลายๆท่านที่เกลื่อนสภาบ้านเราอยู่ค่ะ เพราะเค้ามองไม่เห็น จับไม่ทัน และ ไม่เข้าใจวงจรอุบาทว์ของ กิเลศ-กรรม-วิบาก
หรือเค้าอาจจะไม่ได้รู้สึกดีกับสิ่งที่เค้าทำก็ได้นะคะ แต่มันอดไม่ได้ แพ้กิเลศ หรือมีปัจจัยอะไรบังคับเค้าอยู่
ไม่ว่าใครจะทำกรรมอันเป็นอกุศลในสายตาเราเพียงใด เราก็ต้องพยายามเป็นกัลยาณมิตร มีเมตตาและเป็นตัวอย่างที่ดีีให้เขา
จำเค้ามาเขียนทั้งนั้นค่ะ พูดง่ายทำยาก : ) แต่ก็ต้องพยายามกันต่อไปค่ะ
พูดง่าย
คิดตามเริ่มยาก
ทำตามยิ่งยาก
และยากที่สุดคือทำได้ ค่ะ
มัทตั้งใจว่าทำได้ไม่ได้ไม่ต้องกังวล พยายามทำให้ถึงที่สุดที่จะทำได้ แล้วผลเป็นอย่างไรมัทปล่อยให้เป็นไปตาม อิทัปจจยตา หรือ ที่ Miyauchi sensei สอนว่า ทำใจให้ถูกทาง พยายามให้เต็มที่ ที่เหลือปล่อยให้เป็นไปตาม "Providene"
มัทเตือนตัวเองสั้นๆว่า "อย่าเผลอ" หรือ "อย่าประมาท" : )
ต้องเตือนบ่อยเลยค่ะ เพราะจิตยังซนมาก