การจัดการความรู้ (KM) ส่องประกายแวววาวไปทั่วทุกสารทิศของงานส่งเสริมการเกษตร ที่แฝงตัวไปยังหน่วยงาน กลุ่มบุคคล และเนื้องานที่เกิดขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่างของผลงานส่งเสริมการเกษตรตามโครงการต่าง ๆ ให้สามารถติดตามผลได้ อาทิเช่น โครงการ Food Safety, โครงการศูนย์เรียนรู้การเกษตรพอเพียง, โครงการวิสาหกิจชุมชน และอื่น ๆ
การพัฒนาเจ้าหน้าที่ ถูกนำมาใช้เพื่อสร้างเป็นกลไกการปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ตามภารกิจและบทบาทหน้าที่ของกรมส่งเสริมการเกษตรเพื่อมุ่งให้เกษตรกร กลุ่มเกษตรกร และเครือข่ายงานเกษตรอยู่ดีมีสุขและพึ่งพาตนเองได้ภายใต้ทรัพยากร ความรู้ และศักยภาพที่แต่ละพื้นที่มีอยู่เดิม
บทเรียนที่สรุปผลจากการดำเนินกิจกรรม “การจัดการความรู้” ที่ผ่านมาได้เริ่มต้นจากการใช้วิธีการคือ
1) แทรกซึม KM แบบทั่วไป เพื่อให้เจ้าหน้าที่ “รับรู้” ว่า... “ตอนนี้องค์กรของเรา มี KM เข้ามาแล้วนะ”
2) ดำเนินการเฉพาะกิจ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ “เรียนรู้” ว่า... ในการทำงานส่งเสริมการเกษตรกับเกษตรกรนั้น สามารถใช้ KM เป็นเครื่องมือได้”
3) ดำเนินการกระจายงาน เพื่อใช้เจ้าหน้าที่ “ใช้ KM เป็น” ว่า... การจัดการงานส่งเสริมการเกษตรและการพัฒนาตนเองสามารถใช้ KM ที่เนียนอยู่ในเนื้องานได้
ผลสุดท้ายของการใช้ KM เป็นเครื่องมือในการทำงานก็คือ 1) เจ้าหน้าที่สามารถประยุกต์ใช้การจัดการความรู้เข้าสู่เนื้องานส่งเสริมการเกษตรได้อย่างไม่เป็นภาระกับตนเอง 2) มีการจัดเก็บความรู้ที่มาจากประสบการณ์การทำงานของเจ้าหน้าที่ที่เป็นระบบและตรวจสอบได้ และ 3) เจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตร นำการจัดการความรู้เข้าสู่งานส่งเสริมการเกษตรตามกิจกรรมต่าง ๆ เป็นปกติวิสัย
ดังนั้น การจัดการความรู้ที่ปฏิบัติควบคู่กับงานส่งเสริมการเกษตร ที่มีการนำไปใช้และเกิดผลของเนื้องานและความรู้ต่าง ๆ นั้น มาจาก...การใช้กลไกขับเคลื่อน ได้แก่
1) เป็นตัวชี้วัดผลงาน
2) มีระบบส่งเสริมการเกษตร
3) มีเครือข่ายความร่วมมือของคณะทำงานแต่ละระดับ
4) มีการจัดเวทีเฉพาะกิจ เพื่อเสริมหนุนและนำเสนอผลงาน
5) มีการเสริมขวัญกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่อย่างต่อเนื่อง
โดยการดำเนินการดังกล่าวมี “นโยบาย” คอยกำกับดูแลและเชื่อมโยงการทำงานของทุกระดับ และมีเจ้าภาพรับผิดชอบงาน KM ที่ชัดเจน.
ไม่มีความเห็น