ตาเหลิม
นาย วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์

ตอนที่ 4 บ้านที่สอง ของน้องที่ก้าวพลาด


"มันไม่มีใครมาสแตมป์ที่หน้าผากไว้หรอกว่า ใครเป็นคนดี ใครเป็นคนชั่ว แม้จะเคยผ่านสถานพินิจ ก็ไม่ได้หมายความว่าน้องจะเป็นคนไม่ดี"

 

 

 

 

 

 

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (29 กุมภาพันธ์ 2551)

ผมและคณะชวนซื่น (พี่โป้ง - หัวหน้าคณะ และโจ๊ก ผู้เีก่งกาจ)

จะได้ไปทำกิจกรรมครอบครัวสัมพันธ์ให้กับน้องๆ 

ที่อยู่ในสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน จ.นครปฐม และกลุ่มผู้ปกครองที่จะมาในวันนี้

 

เช้าวันนั้นทีมของเราสามคนนัดกันเวลาประมาณ หกโมงเช้า มันเช้ามากเช้ามาย

สำหรับคนขี้เกียจและตื่นสาย สันหลังยาวเยี่ยงผม

(ไอ้ผมก็คิดไปว่าไม่รู้จะรีบตื่นอะไรกันนักหนาไปแต่ไก่โห่เลยทีเดียว)

 

วันนี้ที่จะไปทำกิจกรรมก็จะมีน้องๆประมาณ 150 คนที่อยู่ในกระบวนการที่รอให้ศาลตัดสิน

จึงต้องมาอยู่ในสถานพินิจ (ว่าแล้วก็เศร้า)

น้องๆ กระทำความผิดกันหลากหลายคดี อาทิ ลักทรัพย์ ยาเสพติด และทำร้ายร่างกาย ฯ เป็นต้น

แต่โดยรวมน้องก็คือเด็ก เยาวชน ที่เป็นเหมือนเด็กธรรมดาคนนึง ไม่แปลก แตกต่าง ไปจากเราแม้แต่น้อย

 

ก่อนมาทำงานวันนี้พี่โป้งเป็นผู้ติดต่องานหลักในตอนแรกเล่าให้พวกเราฟังว่า ได้รับการติดต่อมาจากเจ้าหน้าที่สถานพินิจ จ.นครปฐม ว่าจะให้ไปจัดกระบวนการ และพี่เจ้าหน้าที่ท่านนั้นให้ทางเรากำหนดค่าวิทยากรไปให้เค้า

ทางเราปรึกษากันแล้วก็บอกว่า แล้วแต่ทางพี่จะจัดสรรมาให้เลย เพราะงานแบบนี้เราคิดอยู่เสมอว่า "เหมือนเราไปช่วยกันพัฒนาเด็กและเยาวชนอีกทางนึง" ไม่ได้คิดจะเอาร่ำเอารวยทางนี้

ถ้าคิดก็คงรวยไปนานแล้วเหมือนกันนะ แต่พี่เค้าก็ไม่สามารถกำหนดค่าวิทยากรได้ เลยบอกว่าให้เราเสนอค่าตัว ทางเราเลยเสนอค่าตัวตามจริงไป คือ ชม.ละ 1,200 บาท หรือจะว่าไปก็เหมาๆ ไปประมาณ 4,000 บาท ต่อคน ต่อวัน (จะว่าไปก็พอเหมาะไม่มากน้อยจนเกินไป)

แต่สำหรับพี่ท่านนั้น (ต่อไปจะเรียกว่า พี่ ป.) มันเป็นเงินที่มากอยู่เหมือนกันนะ

พี่ป. จึงได้แต่บอกว่า ทางกรมมีงบมาให้แค่ท่านละ 1,200 บาท ต่อวันค่ะ พอจะทำให้ได้มั้ย

ทางเราตอบตกลงไปด้วยความยินดี เพราะตั้งใจจะเรียนรู้ และทำงานด้านสิทธิเด็กอยู่แล้ว

เมื่อมีโอกาสทำไมต้องปฏิเสธด้วย จริงมะ...

 

หลังจากที่ตกลงค่าชั่วโมง และวันนัดก็มาถึงเราตรงตามเวลาที่เรานัดกันเหมือนเช่นงานต่างๆ ที่ผ่านมา

ระหว่าเดินงทางเลยจอดแวะหาของกินและเครื่องดื่มกระตุ้นไม่ให้ง่วงจากร้านสะดวกซื้อในปั๊มน้ำมัน

และนั่งคุยกันเล็กน้อยเพื่อเตรียมเรื่องกิจกรรมและกระบวนต่างๆ อีกนิดหน่อยกันพลาด

 

การเดินทางออกจากกรุงเทพไปถึงสถานพินิจนครปฐม ใช้เวลาเดินทางนิดหน่อยเพียงชั่วโมงเศษก็ไปถึง

 

การเตรียมกิจกรรมถูกเตรียมมาอย่างดี เพื่อให้เหมาะสมกับระยะเวลา 4 ชั่วโมงครึ่ง ที่เราได้รับจากทางสถานพินิจ เพราะตอนแรกเราจะเริ่มกันตอน 09.30 น. จนถึง 15.00 น.

ก็กลายเป็นเหลือแค่ 4 ชั่วโมง เพราะต่างก็รอผู้ปกครองของน้องๆ ที่ทยอยเดินทางมาร่วมกิจกรรมกันเรื่อยๆ 

พิธีเปิดเริ่มตอน 10 โมงตรง ง่าย กระชับ โดยหัวหน้าฝ่ายแรกรับ ของสถานพินิจฯดังกล่าว

 พี่โป้ง

พี่โป้ง กับบ่ายอันแสนจะร้อนระอุ


ก่อนเล่ากระบวนการต่อไป ขอตัดความรู้สึกนึกคิดกลับมาที่ บรรยากาศตอนแรกที่เดินทางมาถึงจนช่วงเริ่มกิจกรรม ที่อยากเล่าให้ได้รู้

เมื่อเดินทางมาถึง จอดรถและคุยกันเองอีกเล็กน้อย

ก่อนกิจกรรมประมาณ หนึ่งชั่วโมงครึ่ง เราเห็นน้องๆ ในสถานะพินิจเดินกันขวักไขว่ เพื่อเตรียมสถานที่

อุปกรณ์การทำกิจกรรม และเรื่องจิปาถะทั่วไป

 

เมื่อเดินไปเห็นพี่ๆ เจ้าหน้าที่เราก็สวัสดีกันตามธรรมเนียม และน้องๆที่เดินกันอยู่ก็จะสวัสดีเรา

เราทั้งสามคนจึงชิงยกมือไหว้เพื่อสวัสดีน้องๆ เหล่านั้นก่อน

สิ่งที่เห็นได้ชัดจากการไหว้น้องก่อนของเราคือ น้องอึ้งไป และตกใจ ว่าทำไมเราถึงไหว้เค้าก่อน และเค้าก็บอกว่า ไม่ต้องไหว้พวกผมหรอกพี่

พวกเราตอบกลับไปง่ายๆ ว่า "ไม่เป็นไรครับ" และนั่นทำให้เราได้รับรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความรู้สึกเป็นมิตรกลับมาเป็นของขวัญ 

 

และต่อจากนั้นเมื่อทางเจ้าหน้าที่เตรียมทุกอย่างเกือบพร้อมแล้ว

ก็ให้น้องๆ ทั้ง 150 คนมานั่งบนเสื่อที่ทางเจ้าหน้าที่เตรียมไว้ในเต๊นท์ บนลานกิจกรรม

ที่สมกับการเรียกว่า ลานกิจกรรม จริงๆ เพราะปูเสื่อนั่งทำกิจกรรมบนถนนกลางสถานพินิจ

 

ระหว่างพิธีเปิด

มีเด็ก เยาวชน ที่เคยก้าวพลาดกว่า 150 คน นั่งเป็นระเบียบเรียบร้อยรอชะเง้อดูว่ารถที่พึ่งเลี้ยวเข้ามาจะเป็นรถของผู้ปกครองของตนหรือไม่

รถคันแล้วคันเล่าที่เลี้ยวเข้ามาข้างในสถานพินิจ และสายตาทุกคู่ที่จับจ้องไปที่ประตู

ในทุกครั้งที่รถแต่ละคันเลี้ยวเข้ามา หากใครก็ตามที่ไม่่ใช่คนใจร้าย

ได้มีโอกาสที่เห็นภาพนั้นอย่างที่ผมเห็น คงรู้สึกได้ถึงความเหงา ความคิดถึงคนที่เรารัก

และคงจะรู้ซึ้งถึงความสำคัญของความเป็นครอบครัวขึ้นมาในทันที 


 ...


เข้าสู่ช่วงกระบวนการ ลั้นลาพาเพลิน หลังจากพิธีเปิดเสร็จสิ้นลง

พี่เจ้าหน้าที่ก็แนะนำทีมวิทยากร ทีมวิทยากรก็แนะนำตัวเอง

แต่เราไม่เรียกตัวเองว่าวิทยากร ก็เรียกว่าเป็นพี่ๆ ผู้นำกิจกรรม ทำให้น้องๆมีแววตาวางใจที่จะร่วมกิจกรรมกับเรามากขึ้นนิดหน่อย

ก็แนะนำสั้นๆ ว่า พวกพี่ๆมาจากศูนย์กิจกรรมเยาวชนเพื่อชุมชนและสังคม

มีพี่โป้ง พี่ต้าร์ และพี่โจ๊ก ทักทายพอสังเขปก็เริ่มกิจกรรม


เริ่มกิจกรรมด้วยการละลายพฤติกรรม และกลุ่มสัมพันธ์ชั่วโมงกว่าๆ เลยทีเดียว

ก็เล่นกันง่ายๆ บีบ ๆ นวด ๆ  เรียกเสียงหัวเราะและความเป็นกันเองกับน้องๆได้ ตั้งแต่เริ่มต้น


จากนั้นก็เล่นเกมส์กันต่ออีกสองสามเกมส์ รายละเอียดกิจกรรมคงไม่ได้เล่าบรรยากาศทั้งหมด

แต่เอาเป็นว่าสนุกสนานมาก เรียกเสียงหัวเราะและเหงื่อได้มากพอตัว เพราะเกมส์ที่ใช้ส่วนใหญ่จะต้องเล่นด้วยกันทั้งหมด และสร้างการมีส่วนร่วมได้กับทุกคน

ช่วงนี้ผู้ปกครองอายุมากๆ หลายท่านขอตัวไปพัก เพราะเห็นทีจะวิ่งเต้นด้วยไม่ไหว เพราะสังขารไม่อำนวย

พบจบช่วงชั่วโมงกว่าๆ ก็เริ่มกิจกรรมต่อมา เรียกมันว่า ตัวฉันที่ฉันรัก (ตัวฉันเป็นของฉัน)

เล่นง่ายๆ ก็จะแบ่งกลุ่มน้องๆ เป็นกลุ่มละ 5-8 คน จากนั้นให้แต่ละคนวาดรูปแทนตัวเอง (จะเป็นมือ เป็นหน้า เป็นตัว ก็ได้ตามแต่สถานการณ์) ลงในกระดาษของตัวเอง

จากนั้นเราก็มีคำถามสั้นๆ 5 ข้อ ให้น้องๆ ตอบลงบนกระดาษ และให้แต่ละคนเขียนเหตุผลส่วนตัวสั้นๆกำกับไว้ด้วย

และจากนั้นก็พูดคุยกัน

คำถาม 5 ข้อนั้น คือ

1. เรื่องอะไรเป็นเรื่องที่น้องรู้สึกภาคภูมิใจที่สุดในชีวิต

2. ชอบอวัยวะส่วนไหนของร่างกายมากที่สุด

3. เรื่องที่สนุกที่สุดในชีวิต

4. ข้อดีของตัวเอง

5. ความใฝ่ฝัน


พอน้องๆ พูดคุยกันก็ได้รู้ว่าเรื่องบางเรื่องที่คนส่วนใหญ่มักจะเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กๆ ก็เป็นเรื่องที่สนุกที่สุดของเด็กบางคน เช่น ขี่มอเตอร์ไซค์ไปเรื่อยๆ กับกลุ่มเพื่อน ไปเล่นน้ำกับครอบครัว ไปทานข้าวนอกบ้าน

เรื่องที่ภาคภูมิใจที่สุดของบางคน ก็คือ การได้เกิดมา การได้มีเพื่อน การได้รับการยอมรับจากครอบครัว

การได้ขับรถมอเตอร์ไซค์ครั้งแรก ขับรถมอเตอร์ไซค์เป็น เป็นต้น

ข้อดีของหลายๆ คน ข้อนี้บางคนก็ตอบมันได้ยากเหลือเกิน เพราะไม่ค่อยจะได้คิดถึงข้อดีของตัวเอง แต่ทุกคนก็พยายามทบทวนและตอบคำถามเหล่านั้นออกมาด้วยความตั้งใจ

ข้อดีของเด็กบางคนคือ ยิ้มง่าย จริงใจกับเพื่อน ไม่เห็นแก่ตัว และรักเพื่อน นั่นเป็นตัวอย่างข้อดีจากจำนวน กว่าร้อยห้าสิบข้อของแต่ละคน 

อวัยวะ บางคนก็ชอบ มือ หู ตา แขน ขา และอวัยวะต่างๆ ของตัวเอง  ที่ผมติดใจก็คือ

หลายคน ฝันอยากเป็นคนดี ฝันอยากกลับบ้าน และฝันที่จะอยากกลับไปแก้ไขอดีต


อดีต มันทำร้ายเด็กกลุ่มนี้ได้มากกว่าที่คิด ผมไม่รู้จะสรุปความรู้สึกนี้ออกมาเป็นคำพูดอย่างไรดี

แต่อยากบอกไว้ว่า อดีตที่ผิดพลาดของคนอื่นไม่ใช่เรื่องล้อเล่น และที่สำคัญ

อยากถามคนที่กำลังอ่านเรื่องเล่านี้ต่อว่า ... คุณเคยล้อเล่นกับอดีตของคนอื่นหรือเปล่า

เคยมีคนล้อเล่นกับอดีตที่ผิดพลาดของคุณหรือเปล่า ... คุณรู้สึกอย่างไร

เด็กกลุ่มนี้ก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน

... ดังนั้น รู้จักให้โอกาสคนอื่นบ้าง นะ


หลังจากจบกิจกรรมนี้ ผมลองให้น้องๆ ได้เวียนกระดาษของตัวเองไปให้เพื่อนที่อยู่ด้านขวามือ
เวียนไปเรื่อยๆ และให้เพื่อนที่ได้รับกระดาษเขียนข้อดี ของเพื่อนคนนั้นลงไปในกระดาษ
และเมื่อกระดาษแผ่นนั้นเวียนกลับมาหาเจ้าของ
น้องหลายคนมอง อ่านกระดาษแผ่นนั้นด้วยสายตาแปลกๆ และแฝงไปด้วยแววตาดีใจ และปลื้มเล็กๆ อย่างที่ผมเองก็บอกไม่ถูก
ผมไม่สรุปกิจกรรมนี้ เพียงแต่บอกไปว่า 

"เชื่อเถอะว่าน้องๆทุกคนเป็นคนดี"


และเราก็ปล่อยให้ครอบครัว ได้เจอกันและรับประทานอาหารร่วมกัน

ส่วนทีมงานก็ไปหามุมสงบและคุยกันสรุปกิจกรรมในช่วงเช้า



พี่ตัวใหญ่กับน้องตัวเล็ก

น้องๆ ระหว่างทำกระบวนการ น้องตัวเล็กที่มาเยี่ยม ก็มาเล่นด้วยอย่างสนุกสนาน 


ระหว่างรับประทานอาหาร

มีน้องๆหลายสิบคน ที่ผู้ปกครองไม่มาร่วมกิจกรรมในวันนี้

แววตานั้นเศร้าเกินกว่าจะบอกในเรื่องเล่าครั้งนี้

เวลาที่พวกผมเห็นน้องๆ มองเพื่อนที่มีผู้ปกครองมาร่วมกิจกรรม ด้วยแววตาละห้อย

เวลานั้นมันทรมาณมาก และเจ็บปวดลึกลงไปในใจของพวกเราเลยทีเดียว


แต่ที่โหดร้ายกว่านั้น คำพูดของเจ้าหน้าที่ ที่พูดออกมายิ่งทำร้ายยิ่งกว่า

นั่นก็อาจจะเป็นคำพูดปกติของเค้า แต่การที่เค้าประกาศออกไปว่า

"เด็กคนไหนที่ผู้ปกครองไม่มา ก็ให้มาทานข้าวร่วมกันกับเพื่อนๆ"

ผมไม่รู้เหมือนกันว่าจะตอกย้ำความรู้สึกนี้ไปทำไม

เค้าน่าจะแค่ประกาศว่า ให้ทุกคนมาทานข้าวร่วมกันก็น่าจะเพียงพอแล้ว


เพียงคำพูดสั้นๆ แต่ทำร้ายจิตใจได้มากมายเหลือเกิน


เราจำเป็นต้องปล่อยให้มันผ่านไป และกลับมาใส่ใจกับกระบวนการต่อ เพราะนี่ก็ใกล้บ่ายโมงแล้ว



ช่วงบ่าย ก่อนเข้ากระบวนการ

ก็มาปลุกอารมณ์ตื่นตัวกันอีกครั้งกับกิจกรรมสนุกสนาน ลั้น ลั้น ลา

และให้มีกิจกรรมง่ายๆ ทำได้พร้อมกัน อีกจำนวนหนึ่ง

นำโดย พี่โป้ง และพี่โจ๊ก

ก็มีเกมส์กิจกรรม และคำถามให้น้องได้พูดคุยกันมากขึ้นไปกว่าช่วงเช้า

ตอนนี้อากาศร้อนมาก ส่งผลกระทบต่อกระบวนการกลางแจ้งของเราอย่างจริงจัง

เพราะเต๊นท์เราเก็บความร้อนดีมาก เรานำกิจกรรมบนถนนกลางแดด ต้นไม้น้อย

ไม่มีลม พึ่งกินข้าวอิ่ม และบรรยากาศแวดล้อมอันไม่อำนวยอีกจำนวนหนึ่ง

แต่ก็พยายามทำให้ดีที่สุด ซึ่งน้องๆ และครอบครัวก็ให้ความร่วมมืออย่างดียิ่ง  อันนี้ชอบมาก


ช่วงสุดท้าย เราแจกกระดาษให้น้องสองแผ่น แผ่นแรกกระดาษสีขาว

และอีกแผ่นเป็นสีชมพู


แผ่นสีขาวนี่ตอนทำกระบวนการก็ให้น้องๆ กลับมาอยู่กับตัวเอง

หลับตาหายใจเข้าออกอย่างมีสติ น้องๆทำได้ดี แต่ไอ้ที่รบกวน คือพี่ๆเจ้าหน้าที่บางคนที่คุยกันเสียงดัง รบกวนกระบวนการ อย่างไม่รู้จักเกรงอกเกรงใจ และไม่ให้เกียรติน้องๆที่ร่วมกระบวนการ

จนทำให้พี่โจ๊กต้องออกไปส่งสัญญาณขอความร่วมมือจึงทำให้เสียงนกเสียงกา...  เงียบลง


ระหว่างนี้คุณน้องทั้ง 150 และคุณพ่อ คุณแม่ คุณพี่ คุณยาย คุณป้า คุณญาติๆ

ก็นั่งหลับตา และสงบกันจนบรรยากาศกลางลานร้อน วุ่นวาย เสียงดัง

เปลี่ยนเป็นลานเงียบสงบ จนสัมผัสได้


จากนั้น ผมก็เริ่มชวนทุกคนคิดถึงเรื่องราวที่ดีๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต ชวนแต่ละคนค่อยๆย้อน และมองดูตัวเองตั้งแต่เด็ก ทบทวนตัวเองถึงเรื่องราวดีๆ ที่เกิดขึ้น ถ้อยคำดีๆ ที่เด็ก เยาวชนเหล่านั้นเคยได้รับ จากเพื่อน พ่อแม่ คนรอบตัว รวมถึงคติดีๆ ที่เขาเหล่านั้นจดจำไว้เพื่อใช้ในการดำรงชีวิต คำพูดหรือคติที่หล่อหลอมให้เขามีวันนี้

(พอถึงตอนนี้ผมหลายคนมีรอยยิ้มทั้งๆที่กำลังหลับตา และเห็นหลายคนทำท่าครุ่นคิด)


จากนั้นก็ค่อยๆใ้ห้แต่ละคนลืมตา และเขียนคำดีๆ เหล่านั้นบนกระดาษ ให้ได้มากที่สุด เท่าที่จะเขียนได้

และให้เ้ว้นระยะห่างกันเล็กน้อย ...


น้องๆ ก็เขียนไปเรื่อยๆ จากนั้นผมให้น้องๆแต่ละคนฉีกคำพูดเหล่านั้นๆ ออกเป็นคำๆ

บางคนเขียนบรรยายเป็นประโยคยาวๆ บางคนเขียนประโยคสั้นๆ หลายประโยค

และให้นำคำพูดดีๆ เหล่านั้นไปมอบให้กับคนที่เรารู้สึกว่าเค้าควรจะได้รับความรู้ึสึกนั้นจากเรา


น้องๆ งง ในตอนแรก เพราะไม่รู้ว่าจะนำไปให้ใคร แต่สุดท้ายก็เริ่มนำคำดีๆ เหล่านั้นไปมอบให้กับ

พี่เจ้าหน้าที่ในสถานพินิจ นักบำบัด ครูผู้ปกครองบ้าน(ที่เด็กๆจะเรียกว่า พ่อ  หรือ แม่)  คุณพ่อ คุณแม่

หรือญาติๆ ที่ด้วยกัน ณ ลานกลางถนนแห่งนั้น

บรรยากาศอบอวลไปด้วยความรู้สึกดีๆ ที่ต่างได้มอบแก่กัน


เมื่อเสร็จกิจกรรมนี้ ก็กลับมาอยู่ที่เดิมของตัวเอง ผมชวนทุกคนนั่งตัวตรง และหายใจเข้าออกอย่างมีสติอีกครั้ง สังเกตได้ชัดว่า 
"ครั้งนี้เด็กๆ ตั้งใจและสงบมาก"

ผมให้ทุกคนฉีกกระดาษสีชมพูเป็นรูปหัวใจ เพื่อแทนหัวใจของแต่ละคน

และให้แต่ละคนทบทวนถึงเป้าหมายชีวิตของตัวเอง ว่าหลังจากที่ได้ออกจากสถานพินิจแห่งนี้

เค้าตั้งใจจะทำอะไร หรือเปลี่ยนแปลงอะไรในชีวิต


ซึ่งก็คงเป็นเป้าหมายระยะสั้นของชีวิตเค้า...


ทุกคนสงบ ตั้งใจ และบรรจงเขียนออกมาจากหัวใจ

ผมชวนให้ทุกคนติดหัวใจแห่งเป้าหมายของเค้าไว้ที่บอร์ด ที่สถานพินิจจัดเตรียมไว้

เพื่อที่พ่อแม่ ผู้ปกครอง และเจ้าหน้าที่จะได้มาอ่านกัน และเห็นเป้าหมายของเด็กๆ เหล่านี้


(ระหว่างนี้พี่โป้ง(กำลังง่วง แต่ก็ได้ออกมาช่วยในบางช่วง) และโจ๊ก (ไปช่วยเตรียมบอร์ด) ก็ได้ช่วยเหลือตระเตรียมกิจกรรมให้ผมอย่างที่ต้องขอบคุณไว้ ณ ที่นี้

วันนี้ทำงานเป็นทีมจริงๆ)


หลายเป้าหมายที่ได้อ่าน และเห็นคือ จะกลับไปเป็นคนดี ไม่กลับมาที่แบบนี้อีกแล้ว

หลายคนตั้งมั่นจะเรียนให้สูงๆ และทำให้พ่อแม่ภาคภูมิใจ หลายคนจะแบ่งปันความรู้ที่ได้จากที่นี่กับเพื่อนๆ ที่ยังเกเรอยู่

ความตั้งใจของบางคนก็ง่ายๆ คือ จะกลับไปกอดแม่ ... จะบอกรักพ่อ ... จะกลับไปขอโทษ...


ก่อนจบกิจกรรม เราแต่ละคนพูดความในใจ

ผมขอบคุณน้อง พี่โป้งก็ขอบคุณน้องและบอกความรู้สึกถึงการมาทำกิจกรรมในครั้งนี้

และพี่โจ๊ก ที่แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับน้องทุกๆคน

 

โจ๊ก เคยถูกจับ ด้วยคดียาเสพติด/ มีอาวุธสงครามในครอบครอง และ ธนบัตรปลอม

ถูกจับและเคยอยู่ในสถานพินิจและเรือนจำเป็นระยะเวลาสั้นๆ และได้รับการประกันตัวจากครอบครัว

สู้คดี พิพากษารอลงอาญา และต้องรายงานตัวตลอดสี่ปี

แต่นั่นไม่ใช่อุปสรรคของชีวิต โจ๊ก ยังเดินทางสายที่จะกลับตัวและมุ่งที่จะเ็ป็นคนดี

จนได้รับรางวัลเยาวชนดีเด่นแห่งชาติ และรางวัลเด็กดีเด่น รวมไปถึงรางวัลอื่นๆอีก

เพราะแก้ไขปัญหาที่ตัวเอง

 

ระหว่างที่โจ๊กเล่าเรื่องนี้ให้กับน้องได้รู้ ทั้งพ่อ แม่ ผู้ปกครอง และน้องๆ ตั้งใจฟังอย่างมาก และผมเห็นประกายตาที่เปล่งออกมา

ผมยังนึกถึงคำพูดที่ใครซักคนในทีม (ไม่พี่โป้ง ก็โจ๊ก)ที่บอกว่า "มันไม่มีใครมาสแตมป์ที่หน้าผากไว้หรอกว่า ใครเป็นคนดี ใครเป็นคนชั่ว แม้จะเคยผ่านสถานพินิจ ก็ไม่ได้หมายความว่าน้องจะเป็นคนไม่ดี"

 

ขอบคุณ น้องๆ ที่ให้ความรู้แก่ทีมพวกผม

ขอบคุณผู้ปกครองทุกท่านในวันนั้น

ขอบคุณพี่ๆสถานพินิจฯ จ.นครปฐม

และขอขอบคุณ พี่โป้ง และโจ๊ก ไว้ ณ ที่นี้อีกครั้ง ด้วยใจจริง

 

โจ๊ก

(จากซ้ายไปขวา)  ต้าร์   โจ๊ก   และ พี่โป้ง

น้องๆ


กำลัง นัว


น้องๆ ๒

ร้อนแค่ไหน ก็อยู่ด้วยกัน  



หมายเลขบันทึก: 168692เขียนเมื่อ 2 มีนาคม 2008 20:30 น. ()แก้ไขเมื่อ 13 มิถุนายน 2012 14:13 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

พี่ต้าค่ะ  ชอบพี่คะพี่น่ารักมีความสามารถ

หนูปลื้มพี่มากคะ....

สร้างสรรผลงานสู่สังคมเยอะๆนะคะ..

รักนะจุ๊ฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ

บายคะ...

ต้า ดีอะ ได้บุญ ดีๆๆ  หนับหนุน ทำดีแบบนี้น่าอิ่มเอิบใจ....

ถ้าไม่ติดว่างานเยอะ อยากจะไปสังเกตุการณ์ด้วยซักงานสองงาน ^^

ดีจัง..รู้สึกเห็นใจน้องๆๆ สำหรับน้องๆๆ ... แต่ก้ออยากบอกว่า อดีตไม่สามารถลบเลือนไปได้ แต่ถ้าเราต้องการแก้ไขก้อเริ่มเสียจากตอนนี้ ทำปัจจุบันและอนาคตให้ดี จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจความผิดพลาดครั้งหลัง ให้ความผิดพลาดเป็นบทเรียนจ๊ะ สำหรับพี่จัดกระบวนการ..การเตรียมตัวอย่างเดียวไม่พอ ต้องเตรียมเจ้าหน้าที่สถานพินิจด้วย ..เช่น กติกาทั้งน้องและผู้ดูแล สำหรับผู้เขียน....ที่ถามว่า "คุณเคยล้อเล่นกับอดีตของคนอื่นหรือเปล่า เคยมีคนล้อเล่นกับอดีตที่ผิดพลาดของคุณหรือเปล่า ... คุณรู้สึกอย่างไร" ขอตอบว่า ไม่เคยล้อเล่นกับความผิดพลาดของคนอื่น และตั้งใจฟังมากกว่า ..ไม่เคยมีใครล้อตัวเองอะ..เพราะทุกคนที่รู้จักรู้ดีว่า...ไม่มีอะไรดีกว่า การให้กำลังและให้โอกาสกับคนที่เคยผิดพลาด...เรียนรู้ซึ่งกันและกันคะ

ชอบข้อเขียนครับ

แต่ น้องคนนึงที่รู้จัก เค้าเจอการทารุณกรรมในนั้นเยอะ โดนจับฝังมุก โดนซ้อม(รับน้องใหม่) แต่สิ่งที่น้องเค้าได้กลับมาคือความประพฤติเค้าดีขึ้นจริงๆ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท