ตามแนวปรัชญาผู้สร้างความรู้ นั้นการให้ประสบการณ์ตรงโดยให้วิทยาศาสตร์เป็นกระบวนการของการผลิตหรือสร้างความรู้ ซึ่งความรู้เดิมที่มีจะสนับสนุนร่วมมือกับและเปลี่ยนแปลงได้บนรากฐานที่ความหมายสดใหม่ได้เจรจาพูดคุยในกลุ่มและกับครู ที่มุ่งเน้นไปในทางการเรียนรู้เพื่อความเข้าใจของนักเรียน
การเรียนรู้กำหนดเป็นการได้มาซึ่งความรู้โดยแต่ละบุคคลผ่านทางกระบวนการสร้างที่เกิดจากข้อมูลจากการรับรู้โดยประสาทรับรู้ที่กำหนดอยู่ในรูปของความรูเดิมที่มีอยู่ ซึ่งโอกาสสำหรับการเรียนรู้เกิดขึ้นระหว่างการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม สอดคล้องกับที่ Spivey กล่าวว่าการเรียนรู้เป็นเรื่องของการเปลี่ยนความหมายและสร้างโครงสร้างการรู้คิดหรือประชานใหม่
ปรัชญาการสร้างความรู้เป็นทฤษฎีของการรู้ (knowing) ซึ่งความรู้ไม่ได้รับ หรืองบรรจุให้แบบเป็นผู้ถูกกระทำไม่ว่าผ่านทางประสาทรับรู้หรือผ่านทางการสื่อสาร แต่ความรู้จะสร้างขึ้นอย่างแข็งขันโดยตัวรู้คิด (cognizing object) ซึ่งหน้าที่ของประชานหรือส่วนรู้คิดคือการปรับเปลี่ยนไปในทางที่เป็นไปได้และเหมาะสม ประชานจึงทำหน้าที่จัดระบบของโลกประสบการณ์ ไม่ใช่การค้นพบความเป็นจริงแบบภาวะวิสัยเชิงวัตถุประสงค์ (objective ontological reality)
การจัดโครงสร้างใหม่ของประชาน (cognitive)เกิดขึ้นขณะที่ผู้เรียนพยายามที่จะเอาชนะอุปสรรคหรือความขัดแย้งภายในใจ ที่เกิดขึ้นขณะที่พวกเขาเข้าร่วมในกิจกรรมอย่างมีวัตถุประสงค์แสดงถึงการรู้ว่าอะไรที่จะทำ สอดคล้องกับที่ Duit พูดถึงการเปลี่ยนมโนทัศน์ (conceptual change) ที่เป็นหลักสำคัญในการพัฒนาความหมายสำหรับปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์ และการคงสภาพของทัศนะทางวิทยาศาสตร์
การสอนจะเป็นเรื่องของการสร้างสถานะการณ์ซึ่งนักเรียน เด็กๆ มีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์หรือกล่าวอีกอย่างได้ว่าเป็นกิจกรรมที่ทำให้พวกเขาได้สร้างความรู้แต่ละบุคคลด้วยตัวของเขาเอง การสอนให้ได้ดี โดยการสร้างสรรค์กำหนดจัดวางที่กระตุ้นประสาทรับรู้ของเด็กๆ และกิจกรรมการคิดทางจิต และจัดหาสถานะการณ์ทางสังคมที่ทำให้เกิดการสื่อสารระหว่างกัน
ไม่มีความเห็น