คนเรามักจะตอบสนองกับสิ่งเร้าเสมอ การทำงานก็มีข้อเสนอที่เป็นแรงจูงใจ เป็นสิ่งเร้าไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งที่สูงขึ้น เงินเดือนที่ดีขึ้น หรือถ้าขยันเรียนหนังสือก็จะได้เกรดเอ ซึ่งก็จะเป็นความภูมิใจ หากผู้หญิงสวยก็จะเป็นแรงจูงใจให้มีหนุ่มมาสนใจมาก ด้วยเหตุนี้ วันนี้เราถึงมาพูดถึง"ปฏิกิริยากับแรงจูงใจ" ว่ามีความสำคัญไม่ใช่เล่น
คนที่อยากได้เงินของอื่นก็ต้องมีข้อเสนอสารพัดรูปแบบ มาเสนอให้คนอื่นสนใจ เช่น อยากขายของให้ได้ ก็ต้องเสนอขายสินค้าให้ตรงกับความต้องการของคนซื้อ เมื่อแรงจูงใจผ่านการโฆษณาในรูปแบบต่าง ๆ มาถึงเรา ถ้าตรงกับเราก็จะเกิดปฏิกิริยาตอบสนองต่อแรงจูงใจโดยการไปหาซื้อสินค้านั้นมาครอบครองหรือหากเปรียบเทียบในการทำงานถ้าอยากให้คนทำงานให้แก่หน่วยงานดี ๆ และมีประสิทธิภาพสูง ๆ ก็ต้องมีการคิดแรงจูงใจ (Motivation)ในรูปแบบต่าง ๆ มากมาย เพื่อให้คนทำงานได้เต็มประสิทธิภาพทั้งในแบบที่เป็นทางตรงและทางอ้อม ในทางกลับกันถ้าเราอยากก้าวหน้าในการทำงาน ก็ต้องพยายามทำงานได้มากกว่าที่องค์กรคาดหวังไว้ เราก็จะได้รับผลของการทำงานอย่างทุ่มเทอย่างแน่นอน ทั้งหมดนี้เป็นหลักง่าย ๆ ของ "แรงจูงใจ" เพื่อให้เกิดปฏิกิริยาตอบสนอง
ดังนั้นขึ้นเชื่อว่า "มนุษย์" แล้วย่อมจะเกิดปฏิกิริยาตอบสนองต่อแรงจูงใจเสมอ ถ้าเรารู้เท่าทันคิดได้ว่าทุกอย่างล้วนเป็นแรงจูงใจทั้งนั้น เราก็ต้องประมาณตัวเองได้ว่าเราจะตอบสนองต่อสิ่งเร้าหรือแรงจูงใจอย่างไร ที่สำคัญต้องมีสามัญสำนึกว่าสิ่งที่เราจะทำนั้น ไม่ผิดต่อตัวเอง ไม่ผิดต่อผู้อื่น ไม่ผิดต่อศีลธรรม และกฎหมาย เพราะถ้ามีสิ่งเร้าแล้วเราตอบสนองอย่างไร้สติ ก็จะก่อให้เกิดปัญหาได้ตั้งแต่เรื่องเล็ก ๆ เช่น เงินขาดมือ หรือเป็นหนี้ท่วมตัว ก่อความเดือดร้อนให้ครอบครัว เลยไปถึงเรื่องใหญ่ ๆ คือทำให้ประเทศชาติเดือดร้อนเพราะอาจทำการทุจริตในหน้าที่การงานเพื่อ "เงิน" ตัวเดียว
ปฏิกิริยาต่อแรงจูงงใจมี 2 ด้านเหรียญ คือ ตอบสนองแรงจูงใจในด้านบวกที่จะทำให้เรามีแรงทำงานให้ถึงเป้าหมาย หรือได้ผลดีจากการลงทุนที่เหมาะสมกับตัวเอง แต่ถ้าเป็นการตอบสนองแรงจูงใจด้านลบก็จะทำให้เรามีขาดความยั้งคิด ไร้สติ "ขอเพียงรู้ให้เท่าทันเท่านั้นไม่มีอะไรยากอยู่แล้ว"
ที่มา : วารสาร กบข. ปีที่ 10 ฉบับที่ 5 พฤษภาคม 2550
ไม่มีความเห็น