การแก้ปัญหาที่ได้พระราชทานต่อพสกนิกรไทยนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงให้ความสำคัญมากกับคำว่า รู้ รัก สามัคคี และปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งหลักการทั้งสองนี้เป็นแนวทางในการดำรงชีวิตประจำวัน และในการบริหารจัดการ ทั้งในองค์การภาครัฐ และเอกชน
นี่เป็นส่วนหนึ่งจากคำกล่าวปาฐกถาพิเศษโดย ศาสตราจารย์ ธานินทร์ กรัยวิเชียร องคมนตรี ในการเปิดงาน "สมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ และตลาดนัดคุณธรรม ครั้งที่ 3 " ซึ่งจัดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้
เป็นการปาฐกาถาเกี่ยวกับกรณี "ปัญหาของสังคมไทยในยุคปัจจุบัน"ที่ถือว่าประสบกับ " วิกฤติการณ์ด้านคุณธรรม และจริยธรรม"ในขั้นรุนแรง
อีกทั้งยังเกิดความ แตกแยก เกิดความ ไม่เท่าเทียมกัน และมีการใช้กำลังในการระงับข้อพิพาทอย่างไม่ค่อยคำนึงถึงมนุษยธรรม รวมไปถึงการ "ฉ้อราษฎร์บังหลวง" ที่มีในทุกระดับ
ทั้งนี้ศาสตราจารย์ธานินทร์ กรัยวิเชียร ขยายความว่า... กับคำว่า "สามัคคี" นั้น การที่จะลงมือปฏิบัติกิจการงานใด ๆ ควรคำนึงเสมอว่าเราจะทำงานคนเดียวไม่ได้ ต้องร่วมทำงานร่วมมือร่วมใจกันเป็นองค์กร เป็นหมู่คณะ "จึงจะมีพลังเข้าไปแก้ไขปัญหาให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี"
และกับความแตกแยก - การทะเลาะกันในบ้านเมืองที่เคยเกิดขึ้น และปัจจุบันก็ถือว่ายังคุกรุ่นอยู่ อันเกิดจากปัญหาคุณธรรม จริยธรรม และศีลธรรมหย่อนยาน กับแนวทางแก้ไขโดย " รู้ รัก สามัคคี " สิ่งที่ทุกคนจะต้องดำเนินการต่อไปคือ ต้องปลูกความรักที่จะแก้ไขปัญหาสังคมให้เกิดขึ้นในจิตใจ และต้องรักที่จะพัฒนาปรับปรุงแก้ไขตนเองให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป
ที่สำคัญคือ... จะต้อง "ร่วมมือร่วมใจกันในการปรับเปลี่ยนค่านิยมที่ไม่ถูกต้องให้เข้ารูปเข้ารอย" และร่วมมือกันร่อนทองเพื่อหาทองบริสุทธิ์มาเป็นผู้รับผิดชอบในการบริหารแผ่นดินให้ได้
"ประเทศชาติจะรุ่งเรืองไปตลอดรอดฝั่งได้ นอกจากทุกคนจะต้องยึดมั่นในสิ่งที่ถูกต้องและชอบธรรม ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างแข่งขัน และหมั่นฝึกตนให้มีน้ำใจที่จะปฏิบัติงานเพื่อส่วนรวมแล้ว ที่สำคัญ ทุกคนจะต้องรู้จักเสียสละประโยชน์ส่วนน้อยของตน เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศด้วย"
ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2551
ไม่มีไรจะพูด