ร้านหนังสือ


เธอคงไม่รู้ว่ายิ้มของเรามีความหมายสองประการ ประการแรก อยากให้กำลังใจเธอผู้เป็นแม่ที่ดูแลลูกด้วยความรัก ประการที่สอง อยากขอบคุณกับสิ่งดีๆที่เธอมอบให้ผู้อื่น ผ่านการจัดหาหนังสือดีราคาย่อมเยามาวางให้ใกล้มือ..

ร้านหนังสือ  อาจเป็นสถานที่ที่อยู่ในความทรงจำพอๆกับหนังสือ

ร้านแรกที่จำได้ในเยาว์วัยคือ ร้านของแม่  ร้านของแม่อยู่ในอำเภอเล็กๆ ห้องแถวหนึ่งห้อง แต่ขายทุกอย่างตั้งแต่งอบชาวนาไปจนถึงเครื่องสำอางมียี่ห้อ  สินค้าเปลี่ยนไปตามฤดูกาล  ช่วงที่มีความสุขมากคือตอนปิดเทอม ที่กลับบ้านไปช่วยแม่ขายของ  ช่วงก่อนเปิดเทอม  แม่เปลี่ยนหน้าร้านจากวางขายรองเท้าเป็นขายหนังสือเรียน ป1 - ป 7 (สมัยนั้น) เราตื่นเต้นที่จะอ่านหนังสือเรียนของชั้นปีสูงๆที่เรายังไม่เคยอ่าน 

ตอนไปอยู่ทีตรัง  เราจำได้ว่ามีร้านหนังสือและเครื่องเขียน ชื่อร้าน "สิริบรรณ"  ที่เราชอบแวะเวียนไปเดินเล่นตอนเดินกลับบ้าน  ทราบภายหลังว่า เป็นร้านของคุณแม่ คุณจีรนันท์  พิตรปรีชา นั่นเอง

โตขึ้นมาเรียนมัธยมที่กรุงเทพฯ  มีร้าน "ดวงกมล" ที่เต็มไปด้วยหนังสือดีๆ  ช่วงนั้นเป็นช่วงเข้าสู่ยุคประชาธิปไตยเฟื่องฟู  หน้งสือวรรณกรรมแปลดีๆมีเยอะมาก  เด็กบ้านๆอย่างเราก็ชอบไปแถวสยามสแควร์  แต่ด้วยเหตุผลคือ ไปกินลูกชิ้นน้ำใสแล้วไปขลุกอยู่ในร้านหนังสือ  จอห์น สไตน์เบค  ตอลสตอย ..วรรณกรรมแปลจากอินเดีย อย่าง คนขี่เสือ  .. เหล่านี้ ทำให้ประทับใจทั้งหนังสือ และร้าน..

ไปเรียนที่ญี่ปุ่น  หนังสือญี่ปุ่นอ่านยาก  หนังสือฝรั่งดีๆก็แพงเหลือหลาย  แต่ถ้าไปร้านหนังสือมือสองใกล้มหาวิทยาลัย ก็จะขุดค้นเจอหนังสือดีๆหลายเล่ม  แม้จะออกเป็นประวัติศาสตร์สักหน่อย (เพราะหนังสือเก่า)

ปัจจุบันเมื่อเป็นอาจารย์  กลับไม่ประทับใจร้านหนังสือใดๆ สักเท่าไหร่  จริงๆแล้วเป็นเพราะระยะหลังไม่มีวรรณกรรมแปลดีๆ ไม่มีหนังสืออย่างที่ชอบที่ชวนให้ค้นหาสักเท่าไหร่  หนังสือหลากหลายประเภทก็จริง  แต่แต่ละประเภทมีให้เลือกเพียงไม่กี่เรื่อง

แต่ในที่สุดเราก็เจอ   ร้านหนังสือ ที่ประทับใจจนได้  เป็นร้านหนังสือเล็กๆที่มีหนังสือน้อย  อยู่ที่ตลาดใกล้ๆบ้านนี่เอง

ประการแรก  ร้านนี้เลือกหนังสือมาวางขายไม่มากนัก  จึงค้นหาง่าย  และทำให้เห็นว่า  ในหนังสือไม่กี่เล่มที่มีอยู่นี้ หนังสือส่วนใหญ่กลับเป็นหนังสือที่เราสนใจ คือ  หนังสือของท่านพุทธทาสแทบทุกเรื่องทั้งเก่าและใหม่ หนังสือของท่าน ปยุต.. หนังสือเกี่ยวกับปรัชญาเต๋า  เกี่ยวกับคานธี  เกี่ยวกับธรรมชาติ ธรรมชาติบำบัด....  ทำให้สนใจมาก อยากรู้ว่า เจ้าของร้านเป็นใคร คิดอย่างไร จึง "เลือก" ขายหนังสือเหล่านี้เป็นหลัก

ประการที่สอง  หนังสือทุกเล่ม (ยกเว้นนิตยสารที่มีวางขายอยู่ด้วยนั้น)  ลดราคา 10% โดยไม่ต้องเป็นสมาชิก ไม่ต้องมีจำนวนเงินซื้อขั้นต่ำ   ทำให้สนใจอีกว่า  เจ้าของใจดีมีแนวคิดอย่างไรจึงตั้งใจขายลดราคาเช่นนี้แม้จะเป็นหนังสือใหม่   ที่จริงลด 5% ก็คงมีคนซื้อแล้ว

แต่... ที่นี่จะมีเสียงเด็กร้องแอๆ ออกมาเป็นระยะๆ จากหลังร้าน

เมื่อวานซืน  เจ้าของเสียงนั้นก็ปรากฎตัวขึ้น  เขามานั่งอยู่หน้าร้าน เป็นเด็กโตแต่มีปัญหาทางพัฒนาการของสมอง   เขาร้องแอๆ อย่างเคย    ตอนเด็กๆเราเข้าใจว่าคนลักษณะเช่นนี้เป็นคนบ้าหรือปัญญาอ่อน..จึงกลัวมาก ...  แต่ตอนนี้ไม่แล้ว

คราวนี้ เราก็เริ่มปะติดปะต่อภาพได้

เจ้าของร้านที่มาขายของคิดเงิน  ..เป็นสุภาพสตรี ชอบยิ้มนิ่งๆ  ดูใจดีและสุขุม .. เธอคงเป็นคุณแม่ของเด็กชายคนนี้ ... การเปิดร้านขายหนังสือ คงไม่ใช่เพื่อหวังรายได้  แต่เพื่อบางอย่าง เช่น ... ได้อยู่ดูแลลูกชาย  ได้เผื่อแผ่สู่เพื่อนมนุษย์คนอื่นด้วยการขายหนังสือที่มีคุณค่า ในราคาย่อมเยา... ตัวเธอเองคงสนใจในธรรมะ

เราซื้อหนังสือที่อยากอ่านหลายเล่ม  จ่ายเงินหลายสตางค์  เรายิ้มให้คนขายอย่างเป็นมิตร  เจ้าของร้านยิ้มตอบ  เราสองคนไม่ได้คุยกัน  และเธอคงไม่รู้ว่ายิ้มของเรามีความหมายสองประการ  ประการแรก  อยากให้กำลังใจเธอผู้เป็นแม่ที่ดูแลลูกด้วยความรัก  ประการที่สอง  อยากขอบคุณกับสิ่งดีๆที่เธอมอบให้ผู้อื่น ผ่านการจัดหาหนังสือดีราคาย่อมเยามาวางให้ใกล้มือ..

เป็นร้านหนังสือที่เราประทับใจ 

 

 

คำสำคัญ (Tags): #ร้านหนังสือ
หมายเลขบันทึก: 166403เขียนเมื่อ 20 กุมภาพันธ์ 2008 17:25 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 มิถุนายน 2012 23:53 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (11)

อือ....ท่ามกลางการเมืองที่วุ่นวายในสาระของการแบ่งขั้วกันนี้ ท่ามกลางกระแสสายหลักทะลักไหลบ่า ท่ามกลางความร้อนแรงของความไม่แน่นอนทางการเมือง ยังมีมุมที่ดีต่อความรู้สึกซ่อนอยู่

ในความร้อนก็มีความเย็นนะครับอาจารย์ หนังสือสมัยตุลาของผมถูกเผาไปหลายกล่อง ดีดีทั้งนั้นเลย เสียดายไม่หาย อุตสาห์เก็บค่าขนมไปซื้อมาอ่าน ปัจจุบันก็ไม่กล่าไปร้านหนังสือเพราะไปทีไรเสียตังค์ทุกทีเลยตัดใจไม่ไป ไม่ไป ยกเว้นจำเป็นต้องการหาเอกสารที่ต้องการก็ไปครับ

ชอบจัง 

ชอบเข้าร้านหนังสือค่ะ ชอบอ่านพวกวรรณกรรมเด็ก แต่รู้สึกเหมือนกันว่าพักหลังนี่หนังสือมีให้เลือกน้อยลง ต้องเปลี่ยนร้านไปทั่วๆ ถึงจะได้หนังสือถูกใจ ไม่งั้นก็ต้องใช้วิธีไปเดินงานสัปดาห์หนังสือ แต่ไม่ค่อยชอบเพราะมันวุ่นวาย คนเยอะ เวลาเลือกหนังสือชอบร้านที่เงียบสงบมากกว่าค่ะ

มีร้านหนึ่งที่เข้าประจำเพราะเป็นทางผ่าน บรรยากาศไม่พลุกพล่าน ชอบมากๆ ขออนุญาตแนะนำให้รู้จักค่ะ ชื่อร้าน Book@53 อยู่ต้นๆ ซอยสุขุมวิท 53 ค่ะเกือบถึงทองหล่อ ร้านเล็กแต่หนังสือดีเยอะ

นอกจากหนังสืออ่านเล่นแล้วก็ต้องซื้อหนังสือเกี่ยวกับออกแบบหรืออาร์ต พวกนี้จำเป็นต้องควักกระเป๋าซื้อเพราะงาน ปกติจะอุดหนุนอยู่สองร้าน คือคิโนคุนิยะกับเอเซียบุ๊คหรือไม่ก็สั่งผ่านเน็ตเอาจะได้ดังใจกว่าค่ะ หนูเขียนเรื่องการอ่านหนังสือไว้ด้วยนะคะ ที่นี่ วันนี้คุณอ่านหนังสือแล้วหรือยัง???

เป็นร้านที่น่าประทับใจมากครับ ไม่ทราบว่าร้านอยู่ที่ไหนพอจะแนะนำได้ไหมครับ

ผมเองสนับสนุนร้านหนังสือมากครับ เคยเขียนบันทึก ให้ “หนังสือ” ได้เป็นแหล่งเรียนรู้ของคนไทยจะได้ไหม ผมเชื่อว่าปัญหาการศึกษาของประเทศไทยนั้น สาเหตุสำคัญส่วนหนึ่งคือเราไม่มีร้านหนังสือและห้องสมุดที่ดีๆ ที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้อย่างทั่วถึงทั้งประเทศครับ

คุณบางทรายคะ

คิดว่า ช่วงสมัยเดือนตุลา น่าจะเป็นช่วงที่วรรณกรรมดีๆออกมามากที่สุดช่วงหนึ่ง ( "ดี" ในความเห็นของคนรุ่นพวกเรา)  หนังสือดีๆหายไปหมดตอนย้ายบ้านและตอนไปเรียนญี่ปุ่นค่ะ   เสียดายมาก   ตอนนี้ยังอยากไปค้นหาหนังสือรุ่นนั้นมา "สะสม" ไว้ (การสะสมเป็นการผิดหลักการรึเปล่า)

หนังสือที่ประทับใจอีกชุดหนึ่ง เป็นหนังสือตอนตัวเองเพิ่งเริ่มอ่านหนังสือออก คือ งานเขียนการ์ตูนของเหม เวชกร    ยังจำสีหน้า "โกรธวูบหนึ่ง" ของพระเวสสันดร ตอนท่านรู้ว่าชูชกทารุณพระกัณหา-ชาลี   หนังสือเหล่านั้นที่เราเคยอ่านตอนเด็กๆหายไปหมดเลยค่ะ

หาไม่ได้อีกแล้ว ..

คุณ little jazz สวัสดีค่ะ

คิดเหมือนกันเลยว่าหนังสือมีให้เลือกน้อยลง  หมายถึง ความหลากหลายของหนังสือ  เช่น หนังสือเด็ก มี่หลายเรื่องมาก แต่ก็เป็นแนวเดียวๆกันหมด 

ตัวเองไม่ค่อยชอบไปสัปดาห์หนังสือเหมือนกันค่ะ  เพราะผู้คนเยอะ  ชอบที่สงบ เลือกอ่านสบายๆมากกว่าค่ะ    แม้ราคาจะถูก แต่หาหนังสือได้ยาก   ยิ่งในยุคที่หนังสือดีๆหายากยิ่งลำบากใหญ่   ในร้านปกติ  100 เล่ม เจอ 2 เล่ม   ไปสัปดาห์หนังสือ ต้องหา 200 เล่ม จึงจะเจอ 2 เล่มที่ว่า  

ขอบคุณที่แนะนำร้านหนังสือค่ะ  นานๆจะไปแถวนั้นสักที  ถ้ามีโอกาสไป ก็จะลองไปเยี่ยมๆมองๆค่ะ

คณ little jazz ... ขอบคุณที่แนะนำบทความด้วยนะคะ จะตามไปอ่านค่ะ

ดร.ธวัชชัย สวัสดีค่ะ

เป็นร้านที่ไม่มีชื่อร้านค่ะ  เป็นห้องแถว แถวตลาดบางเขน เสนานิคม  ตัวร้านไม่มีบรรยากาศชวนให้เข้าชมหรอกค่ะ ไม่สวยงามเหมือนร้านหนังสืออื่นๆ  ไม่ค่อยไม่คนเข้าร้านค่ะ   ไปทีไรก็มีลูกค้าแค่ 1-2 คน  โดย 1 คนนั้นคือ ปัทมาวดี

ทำยังไงคนไทยจึงจะรักการอ่าน   เคยไปเวียดนามเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว  เห็นคนเวียดนามอ่านหนังสือแล้วหนาวเลยค่ะ  คนถีบรถรับจ้าง ว่างๆก็ยังอ่านหนังสือ  ขึ้นเครื่องบิน (สมัยนั้นดัดแปลงมาจากเครื่องบินทหาร) 99% ของผู้โดยสารนั่งอ่านหนังสือตลอดค่ะ   คนญี่ปุ่นยังออกปาก

เอาเว็บของร้านที่แนะนำไว้มาฝากค่ะ http://www.nibondhbooks.com/index.html

สวัสดีครับอาจารย์ปัทมาวดี

อ่านแล้วได้บรรยากาศจังเลยครับอาจารย์ ผมว่าหนังสือมีส่วนมากๆ ในการพัฒนาคนทั้งในระดับปัจเจกจนไปถึงระดับสังคมโดยรวม

สมัยเด็กๆ พ่อจะพาผมกับพี่ชายไปปล่อยที่งานสัปดาห์หนังสือ (ครั้งยังจัดงานที่กระทรวงศึกษา) แล้วให้เงินคนละห้าร้อยบาท จากนั้นก็ตัวใครตัวมันครับ นัดเจอกันอีกทีก็ตอนบ่ายๆ เย็นๆ

ผมก็สงสัยเหมือนกันว่าจะทำอย่างไรให้เราอ่านกันมากขึ้น ผมคิดวิธีได้อย่างเดียวคือต้องมีตัวอย่างที่ดี ซึ่งก็หนีไม่พ้นผู้ปกครอง (ตามเคย) ทางโรงเรียนก็มีส่วนอย่างมาก มันคงต้องไปพร้อมๆ กันนะครับ ทั้งในระดับนโยบายและในระดับชุมชน ครอบครัว

ขอบคุณครับ

สวัสดีค่ะคุณแว้บ

เรื่องการส่งเสริมการอ่านหนังสือ คงมองได้ทั้งด้านอุปสงค์ คือ สนับสนุนให้คนรักการอ่าน  เห็นด้วยว่า คนรอบตัวมีผลอย่างมากค่ะ พ่อแม่ คุณครู เพื่อน 

และด้านอุปทาน คือ การส่งเสริมให้มีหนังสือดีๆ น่าอ่าน และเนื้อหาหลากหลายให้คนเลือกตามความชอบ

ของตัวเองนั้น น่าจะมาจากคุณยายที่ชอบให้เราอ่านหนังสือให้ฟัง  หนังสือที่อ่านเล่มแรกๆ ก็การ์ตูนเวสสันดรของเหม เวชกร นี่แหละค่ะ   พ่อก็ชอบให้พวกเราล้อมวงแล้วสอนให้อ่านหนังสือวรรณคดี

เมื่อเริ่มอ่าน สิ่งที่ทำให้เราติด"หนังสือ" ก็คือ จินตนาการจากการอ่าน ค่ะ

ใช่แล้ว  ถ้าหนังสือช่วยเสริมสร้างจินตนาการของเด็กๆ  เด็กๆก็จะรักการอ่านค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท