เรา บทที่สามแล้ว
การติดตามหาชื่อของเธอไม่ยากนัก เราไม่อยากถามใคร ๆ ให้อึกทึก กลัว กลัว และเกรงว่าจะต้องหลังหัก จากการ "ตกม้า"
ซึ่งเป็นคำแซวของหมู่นักศึกษายุคนั้น
เธอเป็นเด็กนักศึกษาคณะหนึ่งที่ตามหาตัวค่อนข้างยาก มารู้ทีหลังว่าเป็นเพราะเธอมักจะสิงสถิตย์ในห้องสมุดของคณะเธอ ไม่ใช่หอสมุดกลางของมหาวิทยาลัยด้วย
กิจกรรมก็ไม่ค่อยเข้าร่วมกับเขา ไม่ใช่ไม่เอียงซ้าย และไม่ใช่เด็กตัวฟัน(คำเรียกเด็กเรียน..หมายถึงสนใจเรียนและเรียนดี) หากเพราะเธอต้องไปช่วยทำงานที่บ้านน้าสาวแถว ๆ สวนยางนู้น...ทุ่งลุง....นั่งรถโดยสารไปอีกยี่สิบกิโลเมตรได้
เราได้ชื่อเธอมาจากไหนน่ะรึ ได้จากสมุดอะไรไม่รู้ คล้าย ๆ ทะเบียนชื่อนักศึกษาฉบับ..อะไรสักอย่างที่มีชมรม ชมรมหนึ่งวางไว้ที่คาเฟตทีเรีย..โรงอาหารรวมน่ะ
อาศัยการเดาเอาว่าหน้าหมวย ๆ อย่างนั้น น่าจะชื่อออกไปทางไหน นามสกุลควรจะยาว ๆ เปลี่ยนจากแซ่..นี่คือการเดาแบบมีเหตุมีผล..ฮ่า ฮ่า
ได้เบาะแสจากเพื่อน ๆผู้หญิง ชาวใต้ เหล่านักเรียนชุดขาว สาวใจบุญ พยาบาลทั้งหลายที่ เธอมักไปไหนมาไหนด้วย ให้นิยามเธอไว้นิดหนึ่งว่า คุยได้ คุยดี แต่อย่าไปจีบ
เราอยากถามว่าทำไม แต่ความหยิ่งมีมากกว่า เราคิดว่ายังไม่จีบหรอก แค่สนใจไฝเธอเท่านั้น..ปากจัดสมคำเปรียบเปรยของคนโบราณหรือเปล่า ได้ชื่อ ได้เบอร์ห้องพักพร้อมปีกของหอพักรวม เนี่ยยังจำได้เลย..Z305
แต่ไม่กล้าโทรน่ะสิ
จากเดือนกันยายนที่ปะทะคารมกันเรื่องโรควีดี ที่งานนิทรรศการ ต้องปฏิเสธหลายคำว่า..แวะมาฟังเพราะสนใจวิชาการ ไม่ได้มีอาการน่าสงสัยของโรคไหนทั้งสิ้น
เธอทำหน้าไม่เชื่อ แถมท้ายว่า
"ไปสายสามมาหรือเปล่าคะ อย่าอายนะ บางโรคเข้าถึงปมประสาท ระบบประสาท เดี๋ยวเสียผู้เสียคนตอนแก่เฒ่า ชราภาพ ความจำเสื่อม... "
เอากับเธอสิ....สำทับสุดท้ายกับเพื่อนเราด้วยว่า....
"บอกเพื่อนนายด้วยนะ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน"
จากเดือนกันยายน แล้วเราก็ยังไม่เห็นหน้าเธอ..
จนกระทั่ง ล่วงเข้าเดือนตุลาคม เริ่มฤดูกาลสอบ เธอคงง่วนอยู่กับการสอบ เพราะรุ่นพี่หอที่พักห้องเดียวกับเรา ซึ่งโดนพีท มาอยู่ชั้นปีเดียวกับเธอ ก็ละ ห่างจาก บ้อง..เอ๊ย..จากกิจวัตรสำราญ"ควัน" ลุกตื่นตีสามตีสี่มาอ่านตำรา นัยว่าสอบปิดภาค
และคณะเธอ สอบกันโหด สอบทิ้ง สอบทิ้งเป็นส่วน ๆ โดยเฉพาะวิชา กรอสอนาโตมี..น่ากลัวจะตาย เรียนกันได้ยังไง
วันหนึ่งเธอ ผู้หญิงคนเดียว เดินเข้าไปกับเพื่อนนักศึกษา ผู้ชายทั้งนั้น..ไปที่หอสมุดกลาง
เราก็พอมีสายสืบ นายจืดไงเป็นคนที่อุตส่าห์เดินมาบอกเราถึงโรงอาหาร
เราจึงไปดักรอ ด้วยแรงยุของรูมเมท ไอ้จืดบอกว่า "ถ้าวันนี้มึงยังไม่ได้คุยกับเขา..ก็เลิก..เสียเถอะวะ เด็กเถบ เค้าจะหลบบ้านกันอยู่รอมร่อแล้ว"
นั่นไง เธอและเพื่อนเดินลงมาจากชั้นสองแล้ว คนอื่น ๆ บ่ายหน้ากลับหอ เห็นจากประตูทางออก
ส่วนเธอเดินมาทางนี่ด้วยแฮะ มุมหนังสือพิมพ์ ที่เราเล็งแล้วว่า นั่งรอมุมนี้ สามารถเห็นทุกคนที่เดินลงจากชั้นสอง และทุกคนที่จะเดินออกจากห้องสมุด
เอาไงดี หนึ่ง สอง สาม..เป็นไงเป็นกัน
“เอ่อ .คุณครับ คุณจะกลับบ้านเมื่อไร”
ตลกมากเลยเมื่อนึกถึงตอนที่เรา เอ่ยประโยคนี้เป็นประโยคแรกกับเธอ เป็นการพุดคุยกับเธอตรง ๆ ไม่มีคนอื่น หมายถึงเพื่อนเรา หรือ เพื่อนเธอ และไม่ใช่การถามปัญหาวิชาการเกี่ยวกับสุขภาพอย่างวันงานนิทรรศการ และเนื่องด้วยประโยคคำถามนี้ มันไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ไม่ได้สื่อความหมายชัดเจน คนถามเอ่ยถามเพราะอยากรู้เรื่องหนึ่ง ซึ่งครุ่นคิดอยู่ในใจ
คนฟัง..อ้อ คนที่ได้ยินจึงงง ๆ เพราะไม่ได้ยินหรือล่วงรู้ลึกซึ้งถึงสิ่งที่คนถาม คำนึงถึงอยู่ คำตอบที่ได้มาจึงไปคนละทาง “เดี๋ยวห้องสมุดปิดเมื่อไร ก็กลับเมื่อนั้น ทำไมหรือ..คะ”เธอทำหน้า งง ๆ เราซี ยืนนิ่ง งง พูดอะไรต่อไม่ออกไปพักหนึ่ง
เธอแก้ไขสถานการณ์ให้หรือเปล่า นะ ถึงได้พูดต่อว่า...
“คุณ เอ้อ ชื่ออะไรนะ เพื่อนของแก้ว..ใช่มั้ย ไปปรึกษาอาจารย์หมอหรือยัง”
ดูซี เธอจำเรื่องโรควีดี อะไรนั่นแม่นจัง