การกินเป็นการตอบสนองความต้องการพื้นฐานทั้งความต้องการทางกาย คือ “ความหิว” และความต้องการทางใจ คือ “ความอยาก” เราจึงพบว่าคนเรามีวิถีการดำเนินชีวิตเพื่อเรื่องปากเรื่องท้อง
การกินเป็นพฤติกรรมที่ทุกคนเห็นเป็นเรื่องใหญ่ของชีวิต เพราะการกินเป็นการตอบสนองความต้องการพื้นฐานทั้งความต้องการทางกาย คือ “ความหิว” และความต้องการทางใจ คือ “ความอยาก” เราจึงพบว่าคนเรามีวิถีการดำเนินชีวิตเพื่อเรื่องปากเรื่องท้อง และเป็นการดำเนินไปคนละมุมมองกับชาวสาธารณสุข ผลจากการศึกษาพฤติกรรมการกินของประชาชนในเขตเมือง : กรณีศึกษาชุมชนบ้านเขาโรงครัว สะท้อนให้เห็นความจริงเกี่ยวกับพฤติกรรมการกินของประชาชนที่ไม่อาจปฏิเสธได้ และได้แง่คิดว่า การใช้ความคิดและความรู้ของเราไปแก้พฤติกรรมการกินของชาวบ้าน เราคงทำได้แค่สอนสุขศึกษาแต่แก้ปัญหาให้เขาไม่ได้ เพราะตราบใดที่เราไม่เข้าใจพื้นฐานการดำรงชีวิตและการตัดสินใจซึ่งมีที่มาจากบริบทที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงของชาวบ้านดีพอ เราก็ไม่สามารถนำความรู้ที่เรามีอยู่ไปใช้ให้เข้ากับวิถีชีวิตของเขาได้ และนี่เป็น 2- 3 เรื่องที่ทำให้เราอึ้ง และเปลี่ยนแปลงกรอบความคิดในการให้คำแนะนำเรื่องกินกับชาวบ้าน
หญิงสูงวัยอายุ 68 ปี อาชีพขายกล้วยปิ้ง เป็นคนชอบค้าขายอยู่นิ่งไม่ค่อยได้ ยายบอกว่า“ยายต้องไปซื้อกล้วยตั้งแต่ตีสี่กลับมาถึงบ้านก็ต้องเตรียมของ เพราะต้องกล้วยขายตั้งแต่ 6 เช้า พอสายเขาก็ไปทำงานกันหมดแล้ว หิวก็กินขนมจากรถที่ผ่านมาแถวนั้น ส่วนมื้อกลางวันก็กินง่ายๆ ถ้าหิวก็จะกินก๋วยเตี๋ยว ถ้าไม่หิวก็ไม่กิน ส่วนมากยายจะกินไวตามิลค์ ไม่ได้คิดถึงประโยชน์ของมันหรอก เห็นมันน่ากิน ก็ซื้อมา น้ำอัดลมก็กิน มันชื่นใจดี” อีกรายหนึ่งเป็นเจ้าของร้านเสริมสวย ความเห็นก็ไม่ต่างจากยายที่ขายกล้วยปิ้งมากนัก แกบอกว่า “จะทานข้าวเช้า ตอน 8 โมงเช้าต้องไปส่งลูกไปโรงเรียนก่อน หลังจากนั้นก็เปิดร้าน ถ้ามีลูกค้าเยอะ มื้อกลางวันก็จะเลื่อนออกไปเรื่อยๆ หรือหากหิวมากๆก็จะเอาโออิชิที่ซื้อติดตู้เย็นไว้มากินแก้ขัดไปก่อน เราต้องคิดถึงลูกค้าก่อน จะมัวไปกินแล้วให้ลูกค้ารอได้อย่างไร เดี๋ยวเขาก็หนีหมด ส่วนใหญ่มื้อกลางวันไม่ค่อยได้กินตรงเวลาหรอก” รายสุดท้ายนี่เป็นคุณป้าวัย 55 ปี อาชีพรับจ้างซักผ้า เป็นโรคความดันโลหิตสูงต้องกินยาประจำ“ไม่ค่อยกินข้าวเช้าส่วนมากกินขนมปังกับกาแฟ จะกินข้าวกลางวันเมื่อหิว ถ้ามีผ้าเยอะงานยุ่งจะซื้อจากร้านค้าหน้าบ้าน ชอบดื่มเครื่องดื่มชูกำลัง กินวันละขวดถ้าไม่กินจะไม่มีแรงทำงาน หมอห้ามเหมือนกัน แต่ป้าก็ต้องกินเพราะป้าทำงานหนักใช้แรงเยอะ ถ้าไม่กินก็ทำงานไม่ได้ อาหารมัน หวาน เค็มหมอก็ห้ามแต่ป้าก็อดกินไม่ได้ เวลามันอยากห้ามไม่ได้หรอก” จากตัวอย่าง 2-3 นี้ทำให้เราเริ่มเข้าใจว่านี่แหละของจริง· อาชีพและการทำงานเป็นตัวกำหนดวิถีการดำรงชีวิตของคน ไม่ว่าเวลากิน เวลานอน ดังนั้น แม้ทุกคนจะต้องการความสุขจากการกิน แต่ก็จำต้องลดทอนความสุขจากตรงนี้ไป ต้องลดมื้ออาหาร กินอะไรที่กินง่ายๆ เลื่อนเวลากินออกไปจนกว่าภารกิจจะเอื้ออำนวย และเมื่อความจำเป็นบังคับ บ่อยครั้งเข้าก็เกิดความเคยชิน และเห็นเป็นเรื่องปกติ จนกลายเป็นวัฒนธรรมการกินของคนที่มีลักษณะอาชีพและการทำงานอย่างนั้น· ความสุขที่เกิดจากการกิน คือ การได้กินของที่ตนชอบหรือถูกใจหาได้อยู่ที่คุณค่าทางโภชนาการ หรือ คำแนะนำของบุคลากรสุขภาพอย่างเราไม่ หากแต่ติดอยู่กับรสชาติ กิเลส คือ ความอยากและความหิว หรือกินเพราะ เห็นว่าสิ่งนั้นก่อให้เกิดประโยชน์กับตนเอง เช่น ดื่มน้ำอัดลมเพราะดื่มแล้วรู้สึกชื่นใจ· เงื่อนไขที่มีผลต่อพฤติกรรมการกินของชาวบ้านไม่ใช่ความรู้ทางโภชนการ หากแต่เป็นเงื่อนไขที่เกิดจากสภาพทางเศรษฐกิจ สภาพร่างกาย สถานภาพทางสังคมและความต้องการทางใจเป็นสำคัญ