หน้าแรก
สมาชิก
นิติกาญจน์
สมุด
กฎหมายระหว่างประเทศ
นิติกาญจน์
นิติกาญจน์
นิติกาญจน์ นาคประสม
สมุด
บันทึก
อนุทิน
ความเห็น
ติดต่อ
นิติกาญจน์
บุคคลในกฎหมายระหว่างประเทศ
บุคคลในกฎหมายระหว่างประเทศ
บุคคลตามกฎหมายระหว่างประเทศมีอยู่
2
ประเภท คือ รัฐและองค์การระหว่างประเทศ
1.
รัฐ
รัฐคือคณะบุคลที่รวมกันอยู่เป็นปึกแผ่นถาวรในอาณาเขตที่แน่นอนมีการปกครองอย่างเป็นระเบียบ
มีอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเอง
และเป็นอิสระไม่ขึ้นแก่ใคร
1.1
ลักษณะของรัฐตามกฎหมายระหว่างประเทศมีลักษณะเป็นรัฐอธิปไตยและเอกราช
กฎหมายระหว่างประเทศยืนยันรัฐทุกรัฐ ไม่ว่าใหญ่หรือเล็กย่อมมีอำนาจอธิปไตย
อำนาจอธิปไตยเป็นอำนาจสูงสุด รัฐอธิปไตยจึงเป็นหน่วยที่มีอำนาจสูงสุด
เมื่อรัฐอธิปไตยเป็นหน่วยที่มีอำนาจสูงสุด
ก็ย่อมมีเสรีภาพในการติดต่อกับรัฐอธิปไตยตามกฎหมายระหว่างประเทศ
การติดต่อรัฐอธิปไตยอื่นโดยไม่ต้องผ่านหน่วยที่อยู่เหนือกว่า
ก็เป็นเครื่องแสดงถึงเอกราชไม่ขึ้นกับรัฐอื่น
1.2
องค์ประกอบของรัฐ
รัฐจะประกอบด้วยประชากร
ดินแดน
รัฐบาล
และอำนาจอธิปไตย
หากขาดอย่างหนึ่งอย่างใดไปก็ไม่มีสภาพเป็นรัฐ
เมื่อไม่มีสภาพเป็นรัฐก็ไม่มีสิทธิที่จะดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
-
ประชากร
คือ บุคคลทั้งหมดที่อาศัยอยู่ในรัฐ ซึ่งประกอบด้วยคนในชาติ และคนต่างด้าว
ในประเทศที่มีประชากรหลายเชื้อชาตินั้น เป็นการแยกประเภททางการเมือง
แต่ในแง่กฎหมายระหว่างประเทศ บุคคลเหล่านี้มีสัญชาติเดียวกัน และโดยสายสัมพันธ์ของสัญชาตินี้ ทำให้บุคคลเหล่านี้ได้รับความคุ้มครองจากรัฐของตนเวลาไปอยู่ในต่างประเทศ
-
ดินแดน
เป็นองค์ประกอบของรัฐที่สำคัญที่สุดองค์ประกอบหนึ่งเป็นบริเวณที่รัฐสามารถใช้อำนาจอธิปไตยอย่างเต็มที่
ดินแดนประกอบด้วย
ดินแดนทางบก
น่านน้ำภายใน และทะเลอาณาเขต
รัฐควรมีดินแดนที่แน่นอน
เขตแดนที่แน่นอนนี้ทำให้รู้ว่ารัฐสามารถใช้อำนาจอธิปไตยไปถึงจุดใด
-
รัฐบาล
คือ องค์การที่จัดตั้งขึ้นเพื่อบริหารประเทศ
ถ้าหากมีแต่ประชากรและดินแดน
โดยไม่มีรัฐบาล ก็ไม่เป็นรัฐ
รัฐบาลเป็นผู้ใช้อำนาจของรัฐและเป็นตัวแทนของรัฐในการแสดงออกซึ่งเจตนารมณ์ต่างๆ ของรัฐ
รัฐบาลตามกฎหมายระหว่างประเทศหมายถึง หน่วยอำนาจสาธารณะทุกประเภทรวมกัน
กล่าวคือ
องค์การบริหาร
องค์การนิติบัญญัติ และองค์การตุลาการ รวมกันเป็นรัฐบาล
-
อำนาจอธิปไตย
คือ ความมีอิสระไม่ขึ้นแก่ใคร ไม่ว่าจะเป็นกิจการภายในหรือภายนอกประเทศ
1.3
การใช้อำนาจของรัฐ
รัฐที่อยู่ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ
ย่อมมีอำนาจอธิปไตยและสามารถใช้อำนาจเหนือดินแดนของตน ใช้อำนาจนอกดินแดนของตนและใช้อำนาจเหนือคนชาติของตน
-
การใช้อำนาจรัฐเหนือดินแดนของตน
กฎหมายระหว่างประเทศได้ยืนยันให้รัฐเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนของตนแต่เพียงผู้เดียว
และสามารถใช้อำนาจได้อย่างเต็มที่
ดินแดนของรัฐถือเป็นเขตสงวนของรัฐที่จะใช้อำนาจอธิปไตยแต่เพียงผู้เดียว
รัฐอื่นเข้ามาแทรกแซงไม่ได้
-
การใช้อำนาจนอกดินแดนของตน
รัฐอาจใช้อำนาจของรัฐนอกดินแดนของตนในเรื่องเฉพาะเป็นกรณีพิเศษหรือเป็นข้อยกเว้น
ตามเขตภูมิศาสตร์ที่กำหนดไว้ให้
รัฐอาจใช้อำนาจรัฐนอกดินแดนของตนเป็นกรณีทั่วไปตามตัวบุคคลด้วย
1.4
การรับรองรัฐ
คือ การรับรองรัฐที่เกิดขึ้นมาใหม่
และจะต้องมีประเทศต่างๆ ให้การรับรองว่าเป็นรัฐที่ถูกต้องสมบูรณ์ตามกฎหมายระหว่างประเทศ
การที่จะเกิดขึ้นมาเป็นรัฐได้นั้นต้องมีองค์ประกอบครบทั้ง 4 ประการดังได้กล่าวมาแล้ว
คือต้องมีพลเมืองมากพอสมควร มีอาณาเขตที่กำหนดไว้แน่นอน มีการปกครองที่เป็นระเบียบและต้องมีเอกราชและอธิปไตย
ดังนั้นเมื่อรัฐใหม่เกิดขึ้นมาสังคมระหว่างประเทศจะต้องรับรองรัฐใหม่นั้น และมีทฤษฎีว่าด้วยการรับรองรัฐซึ่งมีอยู่ 2 ทฤษฎีด้วยกัน คือ
-
ทฤษฎีเงื่อนไข
ทฤษฎีนี้อธิบายว่า รัฐกำเนิดขึ้นมาโดยการรวมตัวขององค์ประกอบทั้ง 4 ประการดังที่กล่าวมา
แต่การที่รัฐนั้นจะเข้ามาสู่ความเป็นรัฐซึ่งเป็นสมาชิกของสังคมโลกได้อย่างสมบูรณ์นั้น
รัฐอื่นๆ จะต้องให้การรับรองรัฐนั้นเสียก่อน
ดังนั้นการรับรองโดยรัฐอื่นจึงเป็นเงื่อนไขสำคัญของความเป็นรัฐที่สมบูรณ์
-
ทฤษฎียืนยันหรือประกาศ
ทฤษฎีนี้มาจากนักนิติศาสตร์ชาวอังกฤษ ซึ่งได้เสนอทฤษฎีนี้ขึ้นมาเพื่อโต้แย้งทฤษฎีเงื่อนไข
โดยเสนอแนวคิดว่าเมื่อรัฐรวมตัวด้วยองค์ประกอบ 4 ประการแล้วความเป็นรัฐก็สมบูรณ์
ฉะนั้นรัฐอื่นจะให้การรับรองหรือไม่ก็ตาม
รัฐนั้นก็มีความสมบูรณ์ในตัวของมันเอง
การรับรองโดยรัฐอื่นจึงถือได้ว่าเป็นการยืนยันหรือประกาศในสิ่งที่สมบูรณ์อยู่แล้ว
ประเภทของการรับรองก็มีทั้งการรับรองแบบชั่วคราวหรือเรียกอีกอย่างว่ารับรองโดยพฤตินัย
และการรับรองถาวรหรือการรับรองโดยนิตินัย
ประโยชน์ของการรับรองรัฐ
ทำให้รัฐนั้นมีสถานภาพที่มั่งคง และมีประโยชน์ในการเอื้ออำนวยต่อการเปิดสัมพันธ์ทางการทูตอีกด้วย
1.5
การรับรองรัฐบาล
เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลตามปกติหรือตามวิถีทางของกฎหมายภายในของรัฐใด
ไม่จำเป็นต้องมีการรับรองรัฐบาลชุดใหม่แต่อย่างใด
เว้นแต่กรณีที่รัฐบาลใหม่มิได้ขึ้นมาปกครองประเทศตามวิถีทางของกฎหมาย
กล่าวคือ เป็นกรณีที่มีคณะบุคคลขึ้นครองอำนาจโดยวิธีการที่ผิดแปลกไปจากที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้
ก็อาจจะต้องมีการรับรองรัฐบาลใหม่นี้อีก
การตัดสินใจในการให้การรับรองรัฐบาลใหม่นี้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของรัฐที่จะให้การรับรอง
ซึ่งการรับรองรัฐบาลนี้มีผลในลักษณะของการประกาศให้นานาชาติทราบถึงสถานภาพของรัฐบาลที่ได้รับการรับรอง
โดยมีหลักทั่วไปในการรับรองรัฐบาลใหม่เพิ่งเกิดขึ้นของอาเยนติน่ากล่าวว่าจะต้องประกอบด้วยหลักการพื้นฐาน 3 ประการ คือ
-
ได้รับการสนับสนุนจากประชาชน
-
สามารถควบคุมประเทศได้ทั้งหมด
-
พร้อมที่จะปฏิบัติพันธกรณีระหว่างประเทศได้
นอกจากนั้นยังมีทฤษฎีการรับรองรัฐบาลซึ่งเป็นแนวคิดหรือลัทธิอยู่ 2 แนวด้วยกัน
ซึ่งแนวความคิดหรือลัทธิเหล่านี้เป็นหลักการที่มีการยึดถือเป็นนโยบายต่างประเทศของแต่ละรัฐ
1.5.1 ลัทธิที่ว่าด้วยความถูกต้องตามกฎหมายภายใน
(
Tobar
)
โดยวางหลักไว้ว่าการให้การรับรองรัฐบาลใหม่นั้น รัฐบาลใหม่จะต้องถูกต้องตามกฎหมายภายใน (กฎหมายรัฐธรรมนูญ)
จากหลักดังกล่าวแปลงความได้ว่ารัฐบาลที่มาจากการปฏิวัติเป็นรัฐบาลที่รัฐอื่นไม่ควรให้การรับรองนั้นเอง
1.5.2
สิทธิว่าด้วยเสถียรภาพของรัฐบาล
(
Estrada
)
โดยวางหลักไว้ว่าการให้การรับรองรัฐบาลโดยการพิจารณาถึงเสถียรภาพหรือประสิทธิภาพของรัฐบาลนั้นว่ามีอำนาจอันแท้จริงในการรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ และสามารถรักษาพันธกรณีระหว่างประเทศได้หรือไม่
โดยมิต้องไปพิจารณาถึงความถูกต้องตามกฎหมายภายในของรัฐบาลนั้นเพราะทุกรัฐย่อมมีอำนาจอธิปไตยของตนเอง
2.
องค์การระหว่างประเทศ
องค์การระหว่างประเทศเป็นบุคคลภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศเช่นเดียวกับรัฐ
องค์การระหว่างประเทศเกิดขึ้นเนื่องจากความจำเป็นที่จะต้องมีการเจรจาหลายฝ่ายอยู่เป็นประจำ
ประเทศที่มีปัญหาหรือผลประโยชน์ในเรื่องเดียวกันที่จะร่วมมือกันก็ร่วมกันตั้งองค์การระหว่างประเทศขึ้น
องค์การระหว่างประเทศ จึงเป็นสมาคมของรัฐสมาชิกหรือหน่วยงานกลางที่ตั้งขึ้นโดยสนธิสัญญาเพื่อทำหน้าที่ประจำ และมีรัฐเป็นสมาชิก
2.1
สภาพบุคคลตามกฎหมายระหว่างประเทศ
เกิดขึ้นโดยความตกลงระหว่างรัฐเพื่อก่อตั้งเป็นสมาคมของรัฐอย่างถาวร ประกอบด้วยองค์กรย่อยต่างๆ ที่จะดำเนินภารกิจขององค์กรระหว่างประเทศ มีวัตถุประสงค์แยกต่างหากจากบรรดารัฐสมาชิก
และมีสิทธิหน้าที่และความสามารถใช้สิทธิปฏิบัติหน้าที่ได้ในทางระหว่างประเทศ
2.2
ความสามารถกระทำขององค์กรระหว่างประเทศตามกฎหมายระหว่างประเทศ
ความสามารถขององค์การระหว่างประเทศก็อาจขยายขอบเขตออกไปได้
อันเป็นผลมาจากความจำเป็นเพื่อให้การปฏิบัติงานขององค์การระหว่างประเทศลุล่วงไปอย่างมีประสิทธิผล
หรือเรียกกันว่า อำนาจโดยปริยาย
2.3
ความรับผิดขององค์การระหว่างประเทศตามกฎหมายระหว่างประเทศ
ภารกิจขององค์การระหว่างประเทศที่ได้รับมอบหมายจากรัฐสมาชิก
บางกรณีอาจมีการฝ่าฝืนพันธกิจตามกฎหมายระหว่างประเทศ
องค์การระหว่างประเทศในฐานะนิติบุคคลระหว่างประเทศ
จึงต้องรับผิดในผลการกระทำดังกล่าวโดยถือเป็นความผิดขององค์การระหว่างประเทศ
3.
ปัจเจกชนและบรรษัทข้ามชาติ
-
สถานะของปัจเจกชนตามกฎหมายระหว่างประเทศ
ปัจเจกชนสามารถมีสิทธิในทางสารบัญญัติในทางกฎหมายระหว่างประเทศโดยตรง
สิทธิมนุษยชน สิทธิภายใต้กฎหมายมนุษยธรรมที่จะได้รับการเคารพตามกฎหมายระหว่างประเทศ และมีสิทธิในทางวิธีสบัญญัติ เมื่อถูกละเมิดสามารถมีสิทธิฟ้องรัฐได้
-
สถานะของบรรษัทข้ามชาติตามกฎหมายระหว่างประเทศ
กิจการของบรรษัทข้ามชาติมิได้จำกัดอยู่ในรัฐเดียว
บรรษัทข้ามชาติมีอำนาจมากทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง และดำเนินธุรกิจไม่เฉพาะแต่กับเอกชน
แต่ดำเนินธุรกิจกับรัฐ และหน่วยงานของรัฐด้วย
นอกจากนี้การยุติข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการระหว่างรัฐกับบรรษัทข้ามชาติยังเป็นที่ยอมรับในทางกฎหมายระหว่างประเทศอีกด้วย .
เขียนใน
GotoKnow
โดย
นิติกาญจน์
ใน
กฎหมายระหว่างประเทศ
คำสำคัญ (Tags):
#กฎหมาย
#กฎหมายระหว่างประเทศ
#นักศึกษา ป.โท
#มหาวิทยาลัยพายัพ
#อาจารย์แหวว
หมายเลขบันทึก: 165380
เขียนเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ 2008 11:27 น. (
)
แก้ไขเมื่อ 14 มิถุนายน 2012 11:54 น. (
)
สัญญาอนุญาต:
จำนวนที่อ่าน
จำนวนที่อ่าน:
ความเห็น (0)
ไม่มีความเห็น
ชื่อ
อีเมล
เนื้อหา
จัดเก็บข้อมูล
หน้าแรก
สมาชิก
นิติกาญจน์
สมุด
กฎหมายระหว่างประเทศ
นิติกาญจน์
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID
@gotoknow
สงวนลิขสิทธิ์ © 2005-2023 บจก. ปิยะวัฒนา
และผู้เขียนเนื้อหาทุกท่าน
นโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy)
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท