การเกณฑ์ชายฉกรรจ์เพื่อเข้ารับราชการทหารนั้น มีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย หรือก่อนตั้งสุโขทัยก็ว่าได้ จนสมัยกรุงศรีอยุธยาก็ยังมีการจดบัญชีพลเมืองเหมือนกัน แต่เรียกว่าการสักข้อมือ หลังมือ หรือการสักเลข ซึ่งนอกจากจะใช้เพื่อประโยชน์ในการเกณฑ์พลเมืองมาเป็นทหารแล้ว ยังสามารถใช้ประโยชน์ในการใช้เก็บภาษีอากรได้ด้วย
ในปีร.ศ.๑๑๘ (ค.ศ. ๑๙๐๐) เมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ได้มีการทำ “สัญญาว่าด้วยการจดบาญชีคนในบังคับอังกฤษ ในกรุงสยาม รศ. ๑๑๘”[1] โดยสัญญาฉบับนี้ทำขึ้นระหว่างรัฐบาลของพระเจ้ากรุงสยาม กับรัฐบาลขอลสมเด็จพระนางเจ้าราชินี กรุงเกรตบริเต็นแลไอร์แลนด์ แลเอ็มเปร็สอินเดีย ซึ่งสัญญาฉบับนี้มีสาระสำคัญ ๕ ข้อ คือ
๑. คนที่จะได้รับการจดบาญชีคนในบังคับอังกฤษ ต้องมีลักษณะดังนี้
(๑) เป็นคนในบังคับอังกฤษตั้งแต่เกิด หรือคนซึ่งแปลงชาติเป็นคนในบังคับอังกฤษ เว้นแต่คนที่เป็นเชื้อสายชาวทวีปเอเชีย
(๒) บรรดาลูก หลานผู้ที่เกิดในกรุงสยาม จากคนที่สมควรจดบาญชีได้ในจำพวกที่หนึ่ง อันเป็นผู้ซึ่งจะเป็นคนในบังคับอังกฤษได้ตามกฎหมายอังกฤษ
แต่ไม่รวมถึง เหลน หรือ ลูกซึ่งไม่ถูกต้องตามกฎหมายของคนจำพวกที่หนึ่ง (เหลน และลูกที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่ถือเป็นคนในบังคับอังกฤษ)
(๓) บรรดาคนเชื้อสายชาวอินเดียที่เกิดในอาณเขตรของพระราชินี หรือ เกิดอังกฤษ หรือเกิดภายในเขตรแดนของเจ้าหรือประเทศใดๆในอินเดียซึ่งขึ้นอยู่ หรือมีสัญญาเข้ากับพระราชินีอังกฤษ หรือเป็นคนที่ได้แปลงชาติภายในกรุงอังกฤษ
แต่ไม่รวมถึงคนชาวเมืองพม่าฝ่ายเหนือ หรือชาวเมืองเงี้ยวของอังกฤษผู้ซึ่งได้มาตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนอยู่ในกรุงสยาม ก่อนวันที่ ๑ มกราคม รศ.๑๐๔ (ค.ศ.๑๘๘๖)
(๔) บรรดาลูกที่เกิดในกรุงสยามของคนที่สมควรจะจดบาญชีได้ในจำพวกที่สาม
แต่ไม่รวมถึงหลานของคนจำพวกที่สาม
(๕) ภริยา และหญิงม่ายของคนที่สมควรจดบาญชีได้ทั้งสามจำพวก
๒.บาญชีที่จดมาได้แล้วจะต้องเปิดให้ผู้แทนรัฐบาลสยาม ตรวจดูในเวลาที่บอกให้ทราบล่วงหน้าตามสมควร
๓. เมื่อมีคดีใดๆเกิดขึ้นกับผู้ที่ถือหนังสือสำคัญว่าการจดบาญชีอังกฤษนั้นถูกต้องชอบธรรมหรือไม่ก็ดี หรือในข้อที่หนังสือสำคัญนั้นใช้ได้หรือไม่ก็ดี เจ้าพนักงานฝ่ายอังกฤษกับสยามจะต้องพร้อมกันพิจารณาไต่สวน และตัดสินไปตามข้อความที่ว่าไว้ในหนังสือสัญญานี้ ในคำพยานซึ่งผู้ถือหนังสือสำคัญจะต้องนำสืบ ตามธรรมเนียมที่เคยทำมาแล้ว
๔. ถ้ามีคดีความอันเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญามีโทษค้างอยู่ในเวลาที่กำลังพิจารณาไต่สวนกันเช่นว่ามานี้ จะต้องปรึกษาให้ตกลงพร้อมกันว่าคดีความนั้นควรจะพิจารณาในศาลใดด้วย
๕.ถ้าคนผู้ซึ่งต้องพิจารณาไต่สวนนั้นเป็นผู้ที่ชำระได้ความว่า อยู่ในจำพวกที่จดบาญชีได้ดังกำนหดลงไว้ในข้อ ๑. แล้ว และถ้าเป็นคนที่ยังไม่ได้จดไว้ในบาญชีก็จดลงต่อไปว่าเป็นคนในบังคับอังกฤษ แลรับหนังสือสำคัญของการจดบาญชีนั้นที่สถานกงสุลอังกฤษ แต่ถ้าชำระได้ความเป็นอย่างอื่นนอกจากที่กล่าวมาแล้ว ก็ต้องถือว่าเป็นคนในบังคับสยาม และถ้าเป็นผู้ที่ได้จดบาญชีไว้แล้วจะต้องลบชื่อนั้นออกเสีย
ในปี พ.ศ.2452 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริเห็นว่าสมควรที่จะให้คิดจัดทำบัญชีคนในพระราชอาณาเขตเพื่อทราบความแน่นอนว่ามีคนอยู่เท่าใด และเพื่อประโยชน์ที่จะบำรุงความสุข และรักษาการแผ่นดินให้เหมือนกับที่เป็นอยู่ในประเทศทั้งปวง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ตรา พระราชบัญญัติสำหรับทำบัญชีคนในพระราชอาณาจักร ร.ศ.128 ขึ้น โดยกำหนดหลักการที่จะต้องดำเนินการสำคัญตามกฏหมายฉบับนี้เป็น 3 ประการ ด้วยกัน คือ (1) ให้จัดทำบัญชีสำมะโนครัวขึ้น (2) ให้จัดทำบัญชีคนเกิดและคนตาย และ(3) ให้จัดทำบัญชีคนเข้าออก
ในปี พ.ศ.2457
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริเห็นว่า พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ ร.ศ.116 สมควรที่จะแก้ไขให้ตรงกับวิธีการปกครองที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ จีงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แก้ไข โดยกำหนดว่า กรณีที่แห่งใดยังใช้ได้ให้คงไว้ แห่งใดที่เก่าเกินกว่าวิธีปกครองทุกวันนี้ ก็แก้ไขให้เข้ากับสถานการณ์ และได้รวบรวมตราเป็น พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พุทธศักราช 2457 ขึ้น โดยได้กล่าวถึงการจัดทำทะเบียนสำมะโนครัวซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่บ้าน กำนัน และ อำเภอ ไว้ดังนี้
".........เป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่บ้านที่จะจัดทำบัญชีสำมะโนครัวในหมู่บ้านของตนและคอยแก้ไขให้ถูกต้องอยู่เสมอ กำนันต้องรักษาบัญชีสำมะโนครัว และทะเบียนบัญชีของรัฐบาลในตำบลนั้น และคอยแก้ไขเพิ่มเติมให้ถูกต้องกับบัญชีของผู้ใหญ่บ้าน และหน้าที่ของกรมการอำเภอในการทะเบียนบัญชี นั่นคือทำบัญชีสำมะโนครัวและทะเบียนทุก ๆ อย่างบรรดาที่ต้องการใช้ในราชการ..........."
ในปี พ.ศ.2458
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริเห็นว่า ตามที่ได้โปรดเกล้าฯ ให้ตรา พระราชบัญญัติการทำบัญชีคนในพระราชอาณาจักรขึ้นเมื่อพุทธศักราช 2452แล้ว และบัดนี้การปกครองท้องที่ก็ได้จัดเป็นหลักฐานมั่นคงแล้ว จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการจดทะเบียนคนเกิด คนตายตามหัวเมือง พุทธศักราช 2459 โดยให้ใช้ กฏนี้ในหัวเมืองทุกมณฑล นอกจากมณฑลกรุงเทพ ซึ่งให้เริ่มใช้ตั้งแต่วันที่1เมษายน 2459 เป็นต้นไป พร้อมนี้ได้ออกระเบียบว่าด้วยการแจ้งความ และจดทะเบียนคนเกิด คนตาย ในหัวเมืองมาอ่านแล้ว
รอดูการวิเคราะห์ต่อไป