25 มค. ออกจากพัทลุงตอนค่ำพร้อมกับสายฝน ถึงสถานีขนส่งสายใต้ใหม่ใหม่ตอนสายยวันรุ่งขึ้น (ต้องมีสองใหม่ เพราะเป็นแห่งใหม่แห่งที่สอง) เพราะกลางดึกรถ บขส.ยางแตก ต้องเสียเวลาเปลี่ยนยาง แต่เราก็ยังหลับไม่รู้ร้อนรู้หนาวอยู่ในรถด้วยเหตุที่ง่วงจัดเพราะคืนก่อนหน้านั้นก็นอนบนรถทัวร์เหมือนกันแต่นอนไม่หลับ คืนนี้จึงหลับเอาจริงๆจังๆแบบ"สลบ" ที่จริงเราว่า รถทัวร์ 24 ที่นั่ง นอนสบายกว่าสายการบิน economy class ไปยุโรปที่ต้องทนนั่งหลับๆตื่นๆกว่า 10 ชั่วโมงเป็นไหนๆ
เย็นวันนั้น อดีตลูกศิษย์รวม 8 คน นัดเจอกันตั้งใจจะเลี้ยงข้าวอาจารย์ ลูกศิษย์เป็นคนเลือกร้านตามที่ได้ข้อมูลมาว่า "ราคาปกติ" แต่เมื่อมาถึงร้าน ทุกคนเริ่มเกร็ง เพราะราคาไม่ธรรมดาเท่าไหร่ บรรยากาศสลัวๆ มีดนตรีด้วย เป็นร้านอาหารกึ่งผับมากกว่า คนเลือกร้านเริ่มตำหนิความผิดพลาดของตัวเอง เด็กๆเริ่มกังวลกับค่าใช้จ่าย "มาแล้วก็ทานให้อิ่ม" เราบอกเพราะรู้ว่าลูกศิษย์ชุดนี้ลุยงานหนักแต่ทานจุทุกคน
ทานข้าวเสร็จ ไม่มีใครกล้าสั่งผลไม้หรือของหวาน ฟ้ามืด ไฟนีออนสลัวๆ พวกเราขบวนการชาวพัฒนาชนบท รู้ว่า นี่ไม่ใช่ที่ของพวกเรา... เราจึงเสนอว่า "ย้ายไปคุยต่อที่บ้านครูแล้วกัน" เด็กๆเห็นด้วย ควักเงินกันคนละ 200 เพื่อรวบรวมเป็นค่าใช้จ่าย เราบอกว่า "งานนี้ครูเลี้ยงเอง พวกคุณเอาเงินไปซื้อขนมมาทานกับกาแฟที่บ้านครูดีกว่า"
พวกเราก็เลยย้ายขบวน ออกจากร้านอาหารไปที่บ้านของเราซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ส่งหน่วยเสบียงไปหาซื้อขนมที่หน้าปากซอยมาทานกับกาแฟ ส่วนเราอยู่บ้านเตรียมต้มน้ำ ชงกาแฟ โอวัลติน ลานหน้าบ้านอากาศโปร่งแต่ก็มียุงเพราะเป็นเวลาสองทุ่มแล้ว เลยต้องส่งหน่วยสวัสดิการไปซื้อยากันยุงมาเพิ่ม
ที่จริงเมื่อก่อน เราจัดงานเลี้ยงกลางวันที่บ้านบ่อยๆ ทั้งเพื่อนอาจารย์และลูกศิษย์แวะเวียนมาทำอาหารทานกัน โดยพ่อช่วยจัดเตรียมสถานที่ เตรียมโต๊ะ เตรียมเก้าอี้ ปีนี้พ่อไม่แข็งแรง เราจึงไม่ได้จัดเลี้ยงอีก แต่คราวนี้จำเป็น ประกอบกับเป็นกลุ่มเล็กเพียง 8 คน ไม่ต้องเตรียมสถานที่อะไรมากมาย
เมื่อทุกอย่างพร้อม วงสนทนาก็เริ่มขึ้น ถือว่าเป็นกลุ่มลูกศิษย์ที่สนิทมากที่สุดเพราะลงพื้นที่ด้วยกันบ่อย ตอนนี้เกือบทุกคนมีงาน มีที่ไปของตัวเองแล้ว
ศิษย์รักหัวโจกไปอยู่สระแก้ว ทำงานให้บริษัทกระดาษ เป็นธรรมดาของคนรักงานชุมชนจะไม่ค่อยชอบงานธุรกิจ แต่ที่ทนทำเพราะต้องเก็บเงินส่งให้แม่และเตรียมส่งเสียตัวเองเรียนต่อ
อีกคนย้ายงานจากบริษัทยักษ์ใหญ่ของไทย ไปทำงานให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่ของญึ่ปุ่น งานหนักแต่มีความสุขกว่าที่ทำงานเดิมซึ่งตัวเองต้องทำหน้าที่หาข้อมูล สืบราคา สืบปริมาณผลผลิตของเกษตรกร งานเดิมนี้ นอกจากจะเครี่ยดแล้วยังรู้สึกว่าถูกบริษัทเอาเปรียบด้วย คนนี้เคยถามเราว่า "อาจารย์จะเสียใจไหมถ้าผมไปทำงานบริษัท" เราบอกว่าไม่ เพราะสังคมต้องการคนหลากหลายหน้าที่ ขอเพียงแต่ทำงานบริษัทแล้วก็ยังมีจิตสำนึกที่ดีต่อส่วนรวม
ประสบการณ์การทำงานบริษัทธุรกิจเกษตรของสองคนแรกน่าสนใจมาก น่าจะมีคนศึกษาและเขียนเป็นหนังสิอสักเล่ม
อีกคนเป็นลูกคุณหมอทั้งคุณพ่อและคุณแม่ จึงเป็นผู้มีฐานะดีกว่าทุกคนในกลุ่มเพื่อน คนนี้เพิ่งกลับจากไปค้นหาตัวเอง ค้นหาประสบการณ์ ด้วยการไปทำงานร้านอาหาร อู่ล้างรถที่อเมริกามาพักใหญ่
อีกสองคน ทำงานเป็นผู้ช่วยวิจัยเตรียมจะเรียนต่อรัฐศาสตร์บ้าง พัฒนาบ้าง
อีกคนเรียนโท ที่คณะฯ เป็นคนเดียวที่ตั้งใจจะเป็นนักวิชาการเศรษฐศาสตร์เต็มตัว กำลังเตรียมทำวิทยานิพนธ์เรื่องโครงสร้างตลาดข้าว
คนสุดท้ายน่าเห็นใจที่สุด คนนี้.. คุณแม่เป็นเกษตรกร นักศึกษาสู้ชีวิต ขยัน รับผิดชอบและฉลาด มีความคิดเป็นของตัวเอง ชอบทำงานเคลื่อนไหว เช่น เคยไปอยู่ในพื้นที่ ติดตามปัญหาท่อก๊าซไทยมาเลย์ โรงไฟฟ้าหินกรูด บ่อนอก ตอนแรกทำงานรายการโทรทัศน์กับบริษัทสื่อมวลชนบริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง ดูเหมือนจะมีความไม่เป็นธรรมบางอย่างในการทำงาน ตอนนี้ลาออกไปสมัครงานธนาคาร ซึ่งไม่ใช่ "ตัวตน" ของเธอ แต่ก็ต้องทำ แต่ปรากฏว่า ตรวจเลือดไม่ผ่านเพราะเป็นโลหิตจาง เจ้าตัวบอกว่า จะไปเปิดร้านขายข้าวไข่เจียว …… “แม่อุตสาห์ขายวัวส่งควายเรียน แต่ถึงที่สุดก็ได้แค่นี้เอง”
สำหรับหลายคน ...."ความฝัน" "ความสามารถ" กับ "ทางเลือกที่เป็นจริง" ดูจะเป็นคนละเรื่องกัน
คนที่เป็นครูก็เลยได้แต่คิดต่อว่าจะทำอย่างไรดี
อาจารย์คะ " ขายวัวส่งควายเรียน " เป็นชื่อ อัลบั้ม เพลงเพื่อชีวิต ของน้าหมู พงษ์เทพ ออกช่วง หน่อย เปลี่ยนไต ....ลูกศิษย์อาจารย์ สงสัย ชอบเพลงเพื่อชีวิตนะคะ ม้วนนี้ เพลงเพราะนะคะอาจารย์ มี หน่อย เกี่ยวข้องเล็กน้อย แหะๆ นอกเรื่อง ขออภัย
ขอบคุณอาจารย์ปัทที่อุตส่าห์ถ่ายทอดเรื่องราวของลูกศิษย์เพื่อเป็นข้อคิดให้สังคมด้วยทางหนึ่ง สามารถสะท้อนถึงชีวิตหลังการเป็นนักศึกษาในสังคมที่เป็นอยู่จริงในปัจจุบัน ถึง ความฝัน ความสามารถ และ ทางเลือกที่เป็นจริง เห็นด้วยอย่างยิ่งคะ
ที่จริงสมัยที่รัชเรียนอยู่ก็ชอบร้องเพลง "ขายวัวส่งควายเรียน" มากเหมือนกันคะ รู้สึกว่าสามารถเตือนใจเราได้ดีคะ
สวัสดีคะ
สวัสดีครับท่านอาจารย์
สวัสดีค่ะคุณบางทราย
ที่สอนหนังสืออยู่ทุกวันนี้ นอกจากจะชอบที่ได้ทำตัวเป็นนักเรียนเสียเองแล้ว (คือได้อ่านได้ค้นคว้า) ยังเป็นเพราะเชื่อมั่นว่า จะมีส่วนช่วยให้สังคมดีขึ้นได้ หวังว่าเด็กมีฐานะดีอยู่แล้วจะมีความคิดที่ดีเป็นที่พึ่งของสังคมได้ ส่วนเด็กที่ด้อยกว่าในสังคมก็สามารถขยับขึ้นมาเท่าเทียมกับคนอื่นๆได้
นักศึกษาเองก็เป็นกำลังใจให้อาจารย์เช่นกันค่ะ
น้องรัช...
สงสัยว่า "ความฝัน ความสามารถ กับทางเลือก" ของน้องรัชจะเป็นยังไงบ้าง วันหลังเจอกันจะชวนคุยและให้ช่วยร้องเพลงนี้ให้ฟังด้วย
แล้วจะเจอกันอีกทีเมื่อไหร่ละนี่ ..
คุณสิงห์ป่าสัก ..สวัสดีค่ะ
"ค่านิยม" และ "ข้อเท็จจริง" ทำให้คนไม่อยากเป็นเกษตรกร ถ้าการศึกษาช่วยเปิดทางเลือกที่ดีกว่าได้จริงก็จะดี แต่ที่ผ่านมาการศึกษาไทยแค่เปิดประตูไปสู่การ "ยอมรับ" ค่านิยมแบบหนึ่ง
การศึกษาที่ดีน่าจะช่วยเปิดโลกทัศน์ ให้ "ท้าทาย" ค่านิยมที่ไม่เหมาะสมได้
สวัสดีค่ะอาจารย์เอก
....เลี้ยงควาย ขายไข่เจียว ถ้าเราทำได้ดี มีความสุข ไม่เบียดเบียนใคร ก็โอเคแล้ว
พอลูกโตแล้ว ยังนึกอยากไปเป็นครูต่างจังหวัด แถมวันเสาร์เปิดร้านตัดผม วันอาทิตย์นอนทั้งวัน
พี่เองมีรูปควายแช่ปลักอยู่แถวโคราช เพื่อนถ่ายมาก็เลยขอเก็บไว้ ..ชอบมาก
สวัสดีค่ะ อ.ปัท
กลับมาเข้า gotoknow อีกครั้ง.. ข้ามปี ก็เจอบันทึกแรกนี้ของ อ. ชอบมากเลยค่ะ แอบภูมิใจแทน อ.นะคะ ที่ได้สร้างบัณฑิตที่มีจิตสำนึกดีๆ ไปอยู่ส่วนต่างๆ ของสังคม
เริ่มปีใหม่ก็ได้ลุยลงพื้นที่เลยนะคะ อย่าลืมพักผ่อน+รักษาสุขภาพด้วยนะคะ
คิดถึง อ.นะคะ
สวัสดีค่ะ pilgrim
เงียบหายไปนานเลย...หวังว่าคงสบายดี..ต้องสวัสดีปีใหม่ย้อนหลังแล้วล่ะค่ะ
ยังรออ่าน blog อยู่นะคะ
ปัทมาวดี
ผมเชื่ออย่างหนึ่งว่า การเรียนสร้างได้แค่แนวคิด วิธีคิด ในแต่ละสาขาวิชา ประหนึ่งสร้างปัญญาเท่านั้น
แต่ความต่างของแต่ละคน คือการนำปัญญาที่ตัวเองมีไปใช้ประโยชน์อย่างไร ซึ่งนั่นก็แล้วแต่เหตุปัจจัยที่แตกต่างของแต่ละคน
คนเป็นครูคงทำได้เพียงสอนและสร้างแรงบันดาลใจให้เด็ก
จะไปอินมากก็คงแย่กระมังครับ
เพราะปีหนึ่งปีหนึ่งคงมีคนนั่งเรือลำนี้หลายคนเหมือนกันกระมังครับ
เห็นด้วยกับคุณชินนะคะ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า โอกาสเข้ามาหาทุกคนได้ไม่เท่ากัน หรือ คนเราสามารถจะเข้าถึงโอกาสได้ไม่เหมือนกัน ด้วยโครงสร้าง ระบบทางสังคมบางอย่างเป็นการสร้างความเหลื่อมล้ำ ทำให้คนดีๆมีความสามารถ ไม่สามารถแสดงศักยภาพของเขาได้ เป็นการสูญเสียทางสังคมแบบหนึ่งค่ะ
เป็นอย่างที่อาจารย์ว่าครับ
แต่ทางแก้ก็มีคือ
การสร้างโอกาสการเข้าถึงให้เท่าเทียมและจริงจัง
ให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้
แต่ถ้าเขาไม่รับโอกาสนั้นนั้นก็เป็นเรื่องความไม่เท่ากันเรื่องปัญญาแล้ว
ชึ่งช่วยไม่ได้