เคยได้เรียนPsychodramaระยะสั้นๆกับ อาจารย์ดร.ปิยะฉัตร ฟินนี่และ1ในหลายเทคนิคที่อาจารย์ได้นำมาถ่ายทอดให้กับพวกเราก็คือ..การใช้เทคนิคEmpty Chair ซึ่งสามารถนำมาใช้ได้ในการให้การปรึกษา/จิตบำบัดที่บางครั้งเคสมีภาวะสองฝักสองฝ่าย...ลองจัดสภาพการณ์และใช้Empty chairเพิ่มเติมก็จะทำให้เคสได้สัมผัสกับสิ่งที่เขาคับข้องด้วยตนเองได้ชัดเจนขึ้น หรือ มองเห็นสิ่งที่เขาต้องการในใจที่ชัดเจนมากขึ้นกว่าการพูดคุยตามปกติ....หรือ บางเคสเป็นกรณีที่เกี่ยวกับบุคคลที่สามซึ่งเคสต้องการนำมาเกี่ยวโยงด้วยในการปรึกษาเราก็อาจใช้Empty chair เข้ามาช่วยได้
ในประสบการณ์การใช้ของตัวฉันเอง ฉันพบว่ามีหลายครั้งที่ฉันจำเป็นต้องใช้เทคนิคนี้เพื่อเติมเต็ม/กล่าวอำลาให้แก่คู่สมรสของผู้ติดเชื้อ...ตัวอย่างล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาฉันได้ให้คำปรึกษาแจ้งผลตรวจเลือดแก่ผู้หญิงคนหนึ่งเป็นผู้หญิงวัยผู้ใหญ่รูปร่างสมสัดส่วน ผิวคล้ำเล็กน้อย ผลเลือดของเธอเป็นปกติแต่ดูเหมือนเคสก็ไม่ได้ตื่นเต้นดีใจนัก เคสนี้ฉันได้สังเกตตั้งแต่ก่อนจะเข้ามาในห้องปรึกษาว่าเธอจะมีญาติผู้หญิงมาเป็นเพื่อนด้วยหนึ่งคนและญาติดูตื่นเต้นและเป็นห่วงกังวลในการมารับฟังผลมากกว่าเธอมาก...
คาดคะเนในใจว่าสำหรับเคสนี้ประเด็นผลเลือดคงไม่ใช่เรื่องเรื่องที่ทำให้เคสนี้หนักใจเพียงเรื่องเดียวแต่มันมีประเด็นอะไรอีกหนอที่เก็บไว้อยู่ในใจของเธอคนนี้...แล้วเราจึงพูดคุยกัน
ฉันได้รับทราบเพิ่มเติมว่าสาเหตุที่เธอมาตรวจเลือดเป็นเพราะสามีของเธอเป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวีและเพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อ2-3วันหลังจาก..ที่เธอทราบผลเลือดของเขา....ทั้งๆที่เธอและเขาอยู่กินเป็นสามีภรรยากันมา8-9ปีมาแล้ว
ฉันสอบถามต่อถึงลูกของพวกเขาเคสก็เล่าว่าสามีที่เพิ่งเสียชีวิตนี้เป็นสามีคนที่2..เธอมีลูกติด1คนจากสามีคนแรกและได้มาอยู่กับเขาตั้งแต่ลูกยังไม่คลอดออกมา..สามีรักและไม่รังเกียจลูกที่ติดมาของเธอเลย..เคสบอกเล่ามาถึงตรงนี้ก็แสดงสีหน้าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้แต่ก็ดูขัดแย้งหรือฝืดฝืนๆ...ฉันนิ่งและเฝ้าดูต่อว่าเคสจะเล่าหรือพูดต่อไปถึงเรื่องอะไร...เคสเหมือนยังค้างใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเธอและสามีคนปัจจุบัน..คำพูดของเคสที่ฉันสะดุดใจก็คือ..เขาก็ดูเหมือนจะรักหนูและลูกดีแต่ทำไมเขาถึงทำอย่างนี้...ฉันจึงขอให้เคสอธิบายเพิ่มเติมต่อ..เคสก็ขยายความเพิ่มว่า..เธอรับรู้เป็นคนสุดท้ายว่าสามีติดเชื้อแต่ญาติๆของเขารู้หมดทุกคนและรู้มานานกว่า6-7ปีมาแล้วเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกแย่มากๆแย่มากจนไม่อยากกลับบ้านไปพบเห็นสิ่งที่ทำให้นึกถึงสามีอีกแต่ตลอดเวลาที่อยู่กันมาเขาก็เป็นพ่อเลี้ยงที่ดีมาก ลูกหนูรักเขาเหมือนอย่างเป็นพ่อจริงๆเลย...ฉันไม่กล่าวว่าอะไรแต่แสดงสีหน้ารับทราบถึงสิ่งที่เธอรู้สึกขัดแย้ง..
นิ่งรอสักครู่หนึ่งก่อนบอกเคสว่าฉันอยากขอให้เธอช่วยนั่งนิ่งหลับตานึกถึงภาพ หรือลักษณะท่าทางของสามีสักครู่หนึ่งแล้วเล่าให้ฉันได้รับรู้หน่อยได้ไหม..ระหว่างคุณทั้งสองคนเรียกชื่อกันและกันว่าอย่างไร..ดูเคสไม่ต่อต้านและทำตามที่ร้องขอได้..
ฉันจึงคืบหน้าต่อด้วยการบอกอย่างธรรมดาว่าสมมติว่าเก้าอี้ว่างที่อยู่ข้างตัวคุณนี้มีสามีคุณนั่งอยู่ เขาได้มานั่งฟังเราพูดคุยกันตั้งแต่ต้นด้วย..มาถึงตรงนี้คุณ(เคส)มีคำพูดหรือคำถามอะไรที่อยากพูดกับเขาบ้าง..เคสนิ่งไปครู่หนึ่งแต่เธอก็พูดออกมาว่า”ทำไมพี่ถึงไม่ยอมบอกฉันให้เร็วกว่านี้ว่าติดเชื้อ ฉันจะได้ปัองกันและช่วยกันดูแล...”นิ่งสักครู่แล้วฉันก็ขอให้เคสเปลี่ยนมานั่งเก้าอี้ตัวที่ว่างที่สมมติว่าเป็นที่นั่งของสามีโดยฉันขอให้เธอสมมติต่อว่าเมื่อเธอนั่งลงที่เก้าอี้ตัวนี้ให้เธอลองพยามคิด/นึกเหมือนเป็นตัวสามี เคสมีท่าทีลังเลเล็กน้อยและดูตัวสั่นๆเมื่อนั่งลงเคสมีน้ำตาไหลออกมา..พูดไม่ออก..ฉันกระตุ้นซ้ำเหมือนกับกำลังพูดกับสามีของเคสอยู่..เคสนิ่งไปสักครู่ก่อนจะหลุดคำพูดสั้นๆเบาๆว่า”พี่ขอโทษ..พี่เสียใจจริงๆนะ”
ฉันขอให้เคสย้ายกลับมานั่งที่เก้าอี้เดิมของเธอคืนบทบาทให้เธอเป็นตัวของเธอเองแล้วลองหันไปตอบกลับกับเก้าอี้ว่างที่เธอเพิ่งลุกขึ้นมาว่าเธออยากจะบอกกับเขาว่าอย่างไร..เคสร้องไห้เงียบๆสักพักก่อนจะตอบว่า”หนูยกโทษให้ พี่ไม่ต้องห่วงเราแม่ลูกหรอกนะ”
ฉันแกล้งย้อนถามเคสว่า”คุณ..คุณให้อภัยแก่เขาโดยง่ายเพราะว่าอะไร”เคสตอบว่า”เพราะหนูรักเขา”..ฉันเงียบเพื่อให้เคสได้ซับซึมกับความรู้สึกที่มีอยู่ของตัวเธอสักครู่เมื่อเคสมีสีหน้าดีขึ้นจึงพูดคุยต่ออีกสักเล็กน้อยก่อนที่จะยุติบริการ