ผมเห็นความสัมพันธ์คนกับคน คนกับธรรมชาติ คนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ และการดำเนินชีวิตแบบพื้นฐาน....พี่น้องที่อดีตคือส่วนในปกครองของสยามรัฐ...
วันนั้นเราออกเดินทางแต่เช้าจากเมืองไชยบุรีเพื่อลงเรือที่ท่าเดื่อทวนแม่น้ำโขงขึ้นไปยังบ้านปากไผ่
เป็นลาวลุ่มผสมลาวเทิงขนาด 156 ครัวเรือน
อาศัยในพื้นที่รอบๆนี้นานมาแล้ว แต่ตั้งหมู่บ้านปัจจุบันแค่ 50
ปีเศษ
ระหว่างการเดินทางโดยเรือในลำน้ำโขงนั้น
เราผ่านหน้าผาแห่งหนึ่งมีน้ำตกเล็กๆ สังเกตข้างบนมีอาคารอยู่
2-3 หลัง
เจ้าหน้าที่จากเมืองไชยบุรีกล่าวว่าสถานที่แห่งนี้ได้เคยรับเสด็จสมเด็จพระเทพฯคราวเยือนเมืองไชยบุรี
และมาเสวยพระกระยาหารกลางวันที่แห่งนี้
คุณลุงท่านนี้เล่าให้เราฟังว่า
“ดินแดนนี้คือฝั่งขวาแม่น้ำโขงเคยอยู่ในการปกครองของสยามมาก่อน”.....
ผมรู้สึกถึงได้ความใกล้ชิดอย่างบอกไม่ถูก
คุณลุงท่านก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดียิ่งในการให้ข้อมูลต่างๆที่เราต้องการตามภาระหน้าที่
ผมเลยถือโอกาสสำรวจชีวิต
อดีตคนภายใต้การปกครองของสยามมาก่อนอย่างละเอียดมากขึ้น
ต่อไปนี้ผมอยากนำสิ่งที่ผมเห็นเอามาฝากเพื่อนๆครับว่า
หมู่บ้านในบริเวณนี้ที่ครั้งหนึ่งสยามได้มาปกครองนั้น
วันนี้มีอะไรบ้าง....
ที่ชายหาดริมน้ำก่อนขึ้นมาหมู่บ้านเราพบเด็ก
4
คนเล่นปั้นทรายให้เป็นก้อนกลมๆอวดกัน
ดูสนุกสนานไร้เดียงสาตามธรรมชาติ
เมื่อขึ้นบนหมู่บ้าน เด็กเล็กเล่นล้อรถวิ่งกัน
ทำให้ผมนึกเมื่อสมัยเด็กๆบ้านนอกภาคกลางก็เคยเล่นเช่นนี้มาก่อน
อยากจะไปขอเด็กวิ่งเล่นบ้างเพื่อรื้อฟื้นความหลังก็อายเด็กมัน
เด็กจะว่าเอาว่าลุงแก่แล้วยังเล่นเป็นเด็ก
อิอิ.
แต่เธอสองคนนี้ซิ
คนอื่นเขาวิ่งเล่นกัน
เธอชวนกันไปตักน้ำเมื่อเราเดินผ่านก็นั่งลงยิ้มให้เรา
ช่างบริสุทธิ์ผุดผ่องเป็นยองใยจริงๆ..หนูน้อยผู้น่ารัก ใส
ซื่อ
เมื่อเดินเข้าไปในหมู่บ้านเห็นแม่ลูกคู่หนึ่งกำลังทำการเก็บฟืนที่ใต้ถุนบ้าน
แม่ทำหน้าที่ฟันกิ่งไม้แห้งให้สั้นพอดีใช้ ลูกเล็กๆช่วยหยิบฟืนไปกอง
...ผมเห็นภาพนี้แล้วนึกถึงหลายอย่าง
นี่คือวิถีชีวิตที่แม่ลูกผูกพันกันในแบบธรรมชาติที่ต้องทำงาน
แต่เป็นงานที่ไม่มีรายได้ เป็นงานในองค์ประกอบของการดำรงชีวิต
เด็กเรียนรู้โดยการทำงานจริง แม่คอยบอกกล่าว สั่งสอนวิธีขนฟืน
วิธีกองฟืน วิธีระมัดระวังอันตราย และ...
นี่คือกระบวนการเรียนรู้จากธรรมชาติ จากชีวิตจริง จากการทำจริง
และเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ แม้ว่าเด็กจะไม่ได้คิดถึงสิ่งที่ผมกล่าว
แต่การกระทำเหล่านี้มันซึมซับเข้าไปในจิตวิญญาณเขาตั้งแต่เล็ก
สะสมขึ้นไปตามอายุของเธอ เพราะมีความผูกพันและอบอุ่นที่อยู่ใกล้แม่
นี่คือห้องเรียนธรรมชาติ.....แต่ห้องเรียนตามระบบการเรียนของเรามันห่างออกจากธรรมชาติ...
แล้วโตขึ้นเธอคงเป็นเช่นรุ่นพี่ของเธอนี้ เด็กน้อยเอ๋ย
งานเพื่อชีวิต มิใช่รายได้
งานเพื่อความเป็นอยู่ตามแบบฉบับบ้านกลางป่าเขา และแม่น้ำสายใหญ่
งานคือชีวิต องค์ประกอบชีวิตนั้นเป็นแบบพื้นฐาน...
ผมเห็นการผสมผสานระหว่างความเป็นธรรมชาติของการมีชีวิตอยู่ด้วยกันของคนและสุนัขบนบ้าน
คนในเมืองก็เลี้ยงสุนัขในบ้านเหมือนกัน เห็นกอด
จูบกันยิ่งกว่าลูกอีก ฉันบ้านนอกคอกนาก็รักสุนัขเหมือนกันแหละ
แม้มันจะไม่หอมเท่าก็ตาม..
ที่นี่ไม่มีไฟฟ้าใช้
หากต้องการก็ต้องเป็นแผงโซล่าร์เซลล์ มีแผง 30 แผง 40 แผง 50
ตามขนาดการผลิตกระแสซึ่งระบบเงินผ่อนนำเข้ามา "
หนีไม่พ้นหรอก ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน
เราจะไปที่นั่น"
ลงชื่อ
...นักล่าเงิน...ในนามนักธุรกิจ...
การบังคับหมูให้เดินไปข้างหน้า
เคยเห็นแต่เอาเชือกผูกคอแล้วจูงคนหนึ่ง เดินไล่หลังคนหนึ่ง
แต่ที่นี่ใช้เชือกผูกขาหลังทั้งสองข้างแล้วบังคับให้เดินไปตามต้องการโดยการบังคับด้วยเชือก
แต่ก็ใช้ไม้เรียวกำกับด้วย
การบังคับเชือกที่ขาดูคล้ายๆการบังคับหุ่นกระบอก
วิธีการนี้น่าที่จะมาจากการเรียนรู้ของเขาที่คลุกคลีกับการใช้ชีวิตกับหมูและเรียนรู้สืบต่อกัน
..
เรามองเห็นการความพยายามพัฒนาการการจัดการบางอย่างในชีวิตแบบพื้นบ้านที่ในโรงเรียนเกษตรคงไม่มีสอน..
แต่ได้จากชีวิตจริง และใช้ได้จริง...
เราอยู่ในเมืองเล่นอินเตอร์เนท
พบบ่อยๆที่มีโฆษณาเข้ามาใน email
เราจนรำคาญเรื่อง working at home
ชักชวนให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้จะได้เงินเท่านั้นเท่านี้
แต่ภาพนี้ก็เป็น working at home
เหมือนกัน แต่ไม่ใช่เงิน แต่เป็นชีวิต
เพื่อชีวิตคนในครอบครัว มันเป็นการทำงานเพื่อยังชีพจริงๆ
เวลาที่มีอยู่วนเวียนอยู่กับการทำ
สร้างสรรค์สิ่งที่ชีวิตจำเป็นต้องใช้ ต้องอิงอาศัย
โดยใช้วัสดุจากธรรมชาติสดๆทั้งสิ้น มิได้ผ่านกระบวนการทางอุตสาหกรรม
มิได้ผ่านระบบธุรกิจ แต่ผ่านมือ
และทักษะแห่งชีวิตจริง
นี่คืองานเพื่อชีวิต..
สาวๆคิดอะไร
ไม่มีใครทราบ
คนด้านบนซ้ายมือเป็นคุณครูคนเดียวจากเมืองไชยบุรีที่รัฐส่งมาประจำที่หมู่บ้านนี้
เธอรับรู้ว่าคนต่างถิ่นเข้ามาก็มาสังเกตว่าเป็นใครมาจากไหนมาทำอะไร
ส่วนน้องสาวคนบนซ้ายมือนั่นเมื่อได้แผ่นพับของเราก็เดินอ่านกลับบ้านไปเลย
คนล่างนี้มาเพื่อรอการสัมภาษณ์แทนพ่อแม่ที่ไม่อยู่บ้าน
ดูหน้าตาผิวพรรณแล้วไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นสาวบ้านนอก
ผิวขาวผ่องแต่ดูกล้าที่จะต่อกรกับการใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมเช่นนี้
นี่คือศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้านปากไผ่แห่งนี้ วัดครับ
วัดที่ไม่มีพระ
แต่สร้างกุฏิไว้สำหรับใช้ประกอบพิธีกรรมต่างๆทางศาสนาพุทธ
หากจะทำพิธีตามฮีตคองแล้วก็ไปนิมนต์พระมาจากบ้านอื่นที่ไม่ไกลมากนัก
ถามว่าทำไมไม่นิมนต์พระมาจำพรรษาที่นี่ ผู้เฒ่าบอกว่า
เพราะบ้านเรายังจนและมีจำนวนครัวเรือนน้อย
หากมีพระแล้วจะดูแลท่านไม่ดีพอ
จึงขอให้มีจำนวนครัวเรือนมากกว่านี้ก่อน....
ปัจจุบันงานบุญสำคัญๆตามฮีตคองนั้น ทำสามปีต่อครั้ง
เพราะทำทุกปีไม่ได้เพื่อนบ้านตกลงกันเช่นนั้น
ทุกครั้งจะใช้ข้าวเปลือกมาฮอมกัน ครัวเรือนละ 5 กิโลกรัมเป็นอย่างน้อย
แล้วเอาข้าวไปขายเก็บเงินสะสมไว้เพื่อทำนุบำรุงวัดแห่งนี้ต่อไป
ส่วนรูปบนซ้ายและขวา คือ “ซิม”
เป็นภาษาถิ่น ความจริงคือหลักบ้าน
ในอีสานและเหนือของไทยก็มีที่เรียกว่าหลัก “อินทขิน”
ซึ่งมีความหมายมากต่อการอยู่ร่วมกันเป็นหมู่บ้าน ท่านที่ทำงานพัฒนา หรือเกี่ยวข้องกับชนบท
ไปชนบทที่ไหนเห็นหลักอินทขินละก้อ
เดาเบื้องต้นได้เลยว่าทุนทางสังคมเต็มปรีเลยครับ...
เมื่อได้เวลาบ่ายแก่ๆ สาวน้อยต่างก็ชวนกันไปอาบน้ำในลำน้ำโขง
น้องสาวท่านนี้แยกตัวมาจากกลุ่มเพื่อนทั้งหลาย
มาซักผ้าและอาบน้ำ
ส่วนอีกมุมหนึ่งของแม่น้ำโขงกลุ่มสาวๆกลุ่มใหญ่กำลังอาบน้ำกัน
ต้องขอโทษสุภาพสตรีที่บังอาจซูมภาพเข้ามามิได้มีเจตนาอะไรครับ
เพียงผมอยากทราบว่าอุปกรณ์ที่เธอใช้อาบน้ำนั้นมันมาจากเมืองสักกี่อย่าง
หรือว่าเธอใช้สิ่งที่มาจากธรรมชาติรอบหมู่บ้าน.. ผมไม่เห็นครับ
เห็นแต่สาวท่านที่กำลังก้มขัดสีฉวีวรรณคนนี้ใช้ก้อนหินซึ่งมีอยู่ทั่วไปบนชายหาดนั้นมาขัดผิวครับ..
ก่อนลงเรือกลับที่พักผมเลยเก็บก้อนหินริมโขงมาเป็นที่ระลึกจำนวนหนึ่ง
และเอาไปใช้ขัดผิว เผื่อจะขาวเหมือนเธอบ้าง อิ
อิ..
ป่าเขา
แม่น้ำสายใหญ่ กองทรายมหึมา ดอกส้มป่อยสีเหลือง
และ.....ชีวิต..และชีวิตที่เกิดใหม่
ผมเห็นความสัมพันธ์คนกับคน คนกับธรรมชาติ คนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ
และการดำเนินชีวิตแบบพื้นฐาน....
พี่น้องที่อดีตคือส่วนในปกครองของสยามรัฐ...
เห็นคำว่า..หลักบ้าน ในอีสานและเหนือของไทยก็มีที่เรียกว่าหลัก “อินทขิน” ซึ่งมีความหมายมากต่อการอยู่ร่วมกันเป็นหมู่บ้าน
ความที่เคยเรียนอักษรศาสตร์มา จึงทวนความจำได้ว่า....รู้สึกว่าจะมีที่มาจากพุทธศาสนานิกายเถรวามท หรือไม่ ไม่แน่ใจค่ะ
แต่ก็เป็นระบบจิตสำนึกของสังคมกสิกรรมนะคะ ที่มีความเชื่อเรื่องวิญญาณ หรือสิ่งศักดฺสิทธฺในรูปของวิญญาณ ที่สิงสถิตอยู่กับธรรมชาติ เช่น ป่า เขา โดยเฉพาะต้นไม้และก้อนหิน นะคะ
อ่านแล้วดีจังค่ะ ชอบเรื่องแบบนี้ด้วยค่ะ รู้สึกตัวเอง จะชอบอะไร ที่ทั้งเก่าและใหม่ รวมๆกันด้วย หลากหลายค่ะ
ขอบพระคุณครับท่านพี่ใหญ่..
ที่มาเติมข้อมูลให้ผมได้เข้าใจมากขึ้นครับ ชนบทนั้นจะมีความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติมาก มากกว่าสังคมในเมืองอย่างเห็นได้ชัด สำหรับหลายคนมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระ แต่นักสังคมวิทยา-มานุษยวิทยาจะมองว่านั่นคือสิ่งมีคุณค่ามากในการอยู่ร่วมกัน และนั่นคือทุนทางสังคมที่ยากที่สังคมใหม่แบบเมืองจะเข้าใจและเข้าถึงส่วนลึกของสาระนั้น...