วันที่สาม วันศุกร์ที่ 4 มค. 2551
ออกจากเชียงใหม่ มาแวะบ้านทุ่งเกวียน ได้ผ้าม้งมาหลายมัด ได้อาหารมาทานเล่นในรถ นอกจากอาหารและงานผ้าแล้ว ที่กาดยังมีงานไม้ มีอาวุธรบไทยโบราณเต็มเลยค่ะ
- บ่ายโมงไปถึงอ. แม่สอด จ. ตาก ทานอาหารเที่ยงกับเพื่อนของน้าสาวที่ร้านส้มตำ ในเมืองแม่สอด แซ่บมากค่ะ ทานเสร็จก็ออกเดินทาง มุ่งหน้าไปอ. อุ้มผางเลย กะว่าให้ไปถึงก่อนมืด เพราะทางคดเคี้ยว เดี๋ยวจะอันตราย
- ขับไปชม.ครึ่งได้ครึ่งทาง ก็พักที่จุดพัก เข้าห้องน้ำ ยืดเส้นยืดสาย จิบชาอูหลง สูดอากาศบริสุทธิ์
- หายเมื่อยแล้วก็เดินทางกันต่อ วิวสองข้างทางสวยมากค่ะ ขับออกจากจุดพักริมทางไม่นานก็จะเป็นหมู่บ้านผู้ลี้ภัยสงครามจากสหภาพพม่า ในความดูแลของ UNHCR
- ครึ่งทางหลังนี้วิวยิ่งสวยค่ะ ตัดไปตามเขา อยู่สูงมาก หันซ้ายหันขวา ดูหน้าบ้างหลังบ้าง.......เมาค่ะ โชคดีว่าเมารถได้ไม่ถึงครึ่งชม.ก็ถึง ไม่งั้นอ๊วกแน่ๆ
ผ่านไป 3 ชม. ครบ 1219 โค้ง รอดมาได้โดยไม่อาเจียนค่ะ
- ที่พักที่อ. อุ้มผางชื่อ ภูดอยแคมป์ไซต์ ก็อยู่ได้สบายดี ไม่ได้หรูหราอะไร แม่ครัวทำอาหารอร่อย พนักงานก็ดูแลดีค่ะ ค่าที่พักพร้อมทัวร์ ล่องแพ น้ำตกทีลอซู คงราคาพอๆกันทั้งอำเภอค่ะ
- ก่อนทานอาหารเย็น พวกเราก็ออกเดินสำรวจพื้นที่ ดูบ้านเรือนไปเรื่อย เที่ยวหลังเทศกาลก็เงียบดีค่ะ ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวแล้ว
บ้านที่นี่ไม้สักสวยๆหลายหลังเลยค่ะ เห็นแล้วน้ำลายหก สมัยนี้หาไม่ได้แล้วมั้งค่ะแผ่นใหญ่ๆแบบรูปแรกทางซ้ายหน่ะค่ะ
- ส่วนหลังทานข้าวเย็น พนักงานโรงแรมบอกว่าร้านบ้านครูซันปิด 3 ทุ่ม เราเลยไปดูซะหน่อย ร้านจัดสวยมากค่ะ เสียดายไม่ได้เอากล้องติดไปด้วย พวกเราไปส่งไปรษณียบัตรพร้อมตราปั้มว่า เราได้ผ่าน 1219 โค้งมาแล้วด้วยค่ะ
- หมดไปอีกวัน เข้านอนออมแรงไปเที่ยวน้ำตกวันพรุ่งนี้ค่ะ
วันที่สี่ วันเสาร์ที่ 5 มค. 2551
- หนาวมากๆค่ะ หนาวจริงๆ คงซัก 10 องศา หรือไม่ก็ต่ำกว่า
- เราตื่นมาก่อนแม่ครัวทำอาหารเสร็จ ก็เลยออกไปเดินตลาด ได้ตักบาตรด้วยค่ะ ที่อุ้มผางนี้เท่าที่รู้มีแค่ 2 วัด แต่ทำไมรู้สึกว่า จำนวนพระมากมายเหลือเกินค่ะ ดีนะคะไม่ใช่ไม่ดี : ) บรรยากาศคึกคักมากค่ะ ชาวบ้านก็ดูรู้จักกับหลวงพี่หลวงลุงกันเป็นอย่างดี รูปไหนหายไปก็เห็นถามหากัน มีข้อสังเกตอีกอย่างคือพระที่นี่ท่านให้พรเป็นภาษาไทยก่อนค่ะ แล้วค่อยสวดบาลีตาม
- พอ 7 โมงก็เดินกลับไปโรงแรมทานอาหารเช้า ง่ายๆค่ะข้าวต้มกับ มีผัดผักกูดที่สดมากๆ ไม่มีเมือกแม้แต่น้อย ต่อมาพอเข้าป่าถึงเข้าใจว่าทำไม เพราะมี ผักกูดให้เก็บเต็มไปหมดเลยค่ะ โอย นึกแล้วอยากทานขึ้นมาแล้วค่ะ
- พอ 8 โมงครึ่ง ก็ออกเดินทาง นั่งรถสองแถวของทางโรงแรมไปท่าน้ำเพื่อขึ้นแพยาง
- พวกเรา 6 คนก็นั่งกันสบายๆ 1 แพพอดีี มีไกด์คนนึงคัดท้าย แล้วก็มีน้องคนพายหัวแพอีกคน ต้องชมว่าพายเก่งมากๆ แม่นมากค่ะ
- วิวสองข้างทางดีมากๆ ล่องไปได้ซักพักเราก็เห็นนกกระเต็น สีสดมากๆ
- อากาศก็ดี บรรยากาศก็ดี ไปเรื่อยๆ จนถึงทีลอจ่อ แปลว่า น้ำตกสายฝน สวยมากๆ
ให้ไม้ยมก 10 ตัวเลยค่ะ
- ไฮไลท์ของการล่องแพคือน้ำตกทีลอจ่อส่วนที่มีแสงอาทิิตย์มาส่องสะท้อนเป็นสายรุ้ง ถ้ามาเวลานี้ ฤดูนี้จะเห็นทุกวันค่ะ ประทับใจจริงๆ
- เราก็ล่องแพกันไปอีกซักพักก็ไปถึงบ่อน้ำร้อน ก็ลงไปลองซะหน่อยว่าร้อนแค่ไหน
ใช้ได้เลยค่ะ แต่มันคันๆบอกไม่ถูก เฮอะๆ
- ล่องแพได้ 2 ช.ม.ครึ่งก็ถึง ผาเลือด เราทานข้าวกล่องที่ทางทัวร์เตรียมให้
- อิ่มแล้วก็นั่งรถสองแถวต่อเพื่อไปทีลอซูค่ะ
ทางชันมาก ถ้าหน้าฝนก็ต้องเดินเท้าอย่างเดียว
คนที่มาทีลอซูสมัยก่อนก็ต้องเดินเกือบวันเข้าเส้นทางนี้ค่ะ ตอนนี้รถเข้าได้แล้ว แค่เป็นลูกรังแดง ทางทัวร์แจก mask ให้ใส่ด้วยค่ะ จากจุดที่เราขึ้นจากแพ แค่ครึ่งชม.ก็ถึงทางเข้าทีลอซูค่ะ
- ทางเดินเข้าน้ำตกก็ทำเป็นทางเดินคอนกรีตแล้ว สบายมากๆ เดิน 1.5 กม.เองค่ะ
- ในที่สุดก็มาถึง ทีลอซู
- แต่ก่อนตอนที่มันจะพังลงมาส่วนนึงมันคงสวยมากๆ ตอนนี้ก็ยังสวยอยู่แต่ทุกคนลงความเห็นว่า ประทับใจทีลอจ่อกับการล่องแพมากกว่าค่ะ
- เราเดินเล่น รอบๆแล้วขึ้นไปบนชั้นน้ำตกเท่าที่จะขึ้นได้ อยู่ซักชม. ก็กลับ ขากลับนี่แหละค่ะ ทรหดมากๆ นั่งรถกลับถึงอุ้มผางเลย เป็นฝุ่นลูกรังทั้งตัวเลยค่ะ ทางก็คดเคี้ยว ต้องจับราวไว้ดีๆ เหวี่ยงมาก คิดว่าสำหรับเราที่เดิน hiking ที่แคนาดามาแล้ววันละยี่สิบสามสิบโล รู้สึกว่านั่งรถแบบนี้เหนื่อยไม่แพ้กับเดินเลยค่ะ
- แต่พอกลับมาโรงแรมอาบน้ำ ทานข้าวเย็นแล้ว คืนนั้นก็ยังมีแรงนั่งเล่นไพ่กันได้ต่อแปลว่าไม่เลวร้ายมากค่ะ พ่อกับแม่ก็อายุ 60 กว่า ท่านก็ยังไหว งานนี้ใครกลัวก็คงหายกลัวนะคะ
- แต่นึกไม่ออกจริงๆว่าช่วงเทศกาลที่คนมาเยอะๆจะเป็นยังไง ถ้าหลีกได้ให้หลีกดีกว่าค่ะเพราะจะได้สัมผัสธรรมชาติ ตอนพวกเราไป ได้ยินเสียงนกทั้งทาง ถ้าเอากล้องส่องทางไกลไปด้วยคงได้ดูนกมากมาย พวกเราเห็นลิงป่ายปีนต้นไม้ด้วยค่ะ
วันนี้แค่นี้ก่อนนะคะ โปรดติดตามตอนต่อไป บันทึกหน้าเป็นตอนสุดท้ายค่ะ
เช้าวันสุดท้ายที่อุ้มผาง แล้วก็ไปทางข้าวเที่ยงแม่สอด ก่อนไปแวะหมู่บ้านมูเซอก่อนกลับกรุงเทพฯ ค่ะ
* สังเกตได้ว่าสีภาพมุมเดียวกันแต่ไม่เหมือนกัน เพราะมาจาก 2 กล้องค่ะ ภาพทั้งหมดถ่ายโดย ผู้เขียนและน้องสาว (มุทริกา) ค่ะ
สวัสดีด้วยความติดใจอีกทีค่ะ อ.มัท
สวัสดีค่ะน้องใหม่
พี่แอมป์จ๋า
ใหม่ไม่มาตอบ เลยขอตอบเองไปก่อนละกันนะคะ กล่องเค้าเอากลับไปใช้ต่อค่ะ แต่น้ำเป็นน้ำขวดทั่วไปค่ะ ใช้แล้วทิ้ง
อย่าให้เข้าเรื่องขวดนะคะ เดี๋ยวยาว (ฮา) เพราะที่นี่ตื่นตัวกันมาเมื่อปีที่แล้วเรื่องสาร Bisphenol A
ที่นี่มีร้านอาหารอินเดีย ใน foog court ที่ขายข้าวพร้อมปิ่นโตด้วยค่ะ เอากลับบ้านไป คราวหน้าเอาปิ่นโตมา น่ารักดี
ส่วนในรูปนั้นน้องใหม่คือคนซ้ายค่ะ คนกลางคือน้องคนสุดท้อง(ไอ้)จิ๋ว : )