หมอบ้านนอกไปนอก(50): ได้อย่างเสียอย่าง


ตามหลักเศรษฐศาสตร์ทรัพยากรมีจำกัด (เงิน เวลา โอกาส) แต่ความต้องการ (ความอยาก) ของมนุษย์มีไม่จำกัด คนทุกคนจึงมีเหตุผลของตัวเองเสมอ ถ้าเลือกทำอย่างหนึ่ง ก็ไม่ได้ทำอีกอย่างหนึ่ง เป็นค่าเสียโอกาส (Opportunity cost) หรือได้อย่างเสียอย่าง

                  สหภาพยุโรปเป็นทวีปที่มีพื้นที่ไม่กว้างมากนักแต่มีความหลากหลายของแต่ละประเทศใหญ่น้อยมากมายทั้งวัฒนธรรม ภาษา ประเพณี ความเป็นอยู่ ด้วยความที่อยู่ไม่ห่างไกลกันนัก มีระบบคมนาคมขนส่งที่สะดวก ทำให้ไปมาหาสู่กันได้ง่าย ระบบเงินตราเป็นระบบเดียว มีบรัสเซลส์ เป็นเมืองหลวงของสหภาพยุโรป ผู้ใหญ่ที่นับถือกันบอกผมว่าเมื่อได้มาเรียนที่ยุโรปแล้วให้กินอยู่อย่างประหยัดเพื่อเก็บเงินไว้เที่ยว เพราะโอกาสที่จะบินมาเที่ยวจากเมืองไทยนั้นยากและเสียค่าใช้จ่ายมาก ประหยัดไม่ใช่ตระหนี่ กินให้อิ่มท้อง อิ่มคุณค่าและอิ่มใจ ส่วนเที่ยวมีหลายแบบเช่นเที่ยวกลางคืน เที่ยวพักผ่อน เที่ยวชมสถานที่ เที่ยวจับจ่ายซื้อของ เป็นต้น การเที่ยวชมเมืองเป็นการเรียนรู้ที่มีคุณค่าและเปิดโลกทัศน์           

                เมื่อมีโอกาสผมกับพี่เกษมก็วางแผนการเดินทางเที่ยวชมสเปนกันในช่วงวันศุกร์ที่ 18 ถึงวันจันทร์ที่ 21 มกราคม ได้ข้อมูล หนังสือ แผนที่จากริด้า เกลนด้าและนามีนที่ไปเที่ยวมาแล้วช่วงปีใหม่ จองเที่ยวบินต้นทุนต่ำของไรอันแอร์ ดูที่ www.ryanair.com  ไปกลับ 70 ยูโร ราคาเปลี่ยนแปลงได้ทุกวัน ยิ่งใกล้วันเดินทางยิ่งแพงขึ้น เวลาจองต้องอ่านรายละเอียด เงื่อนไขต่างๆให้ชัดเจน ถ้ามีสัมภาระต้องฝากในเครื่องก็คิดเพิ่มอีก ให้ถือขึ้นเครื่องได้ชิ้นเดียว ไม่เกิน 10 กิโลกรัม แต่สำหรับการเดินทางไปเที่ยวช่วงสั้นๆ แค่นี้ก็เกินพอแล้ว ส่วนที่พักจองเป็นโฮสเทล (Hostel) แบบห้องคู่ ห้องน้ำรวมชื่อ Hostel Numancia สภาพเก่าเพิ่งทาสีใหม่ แต่อยู่ใกล้เมืองและใกล้สถานีรถไฟใต้ดิน (Tirso de Molina) เดินไปเที่ยวที่ต่างๆได้ง่าย ค่าห้องพัก 21ยูโรต่อคนต่อคืน ต้องจ่ายเงินเลย  พนักงานออกใบเสร็จให้ ข้อเสียอย่างหนึ่งคือพนักงานพูดภาษาสเปน พูดอังกฤษไม่ได้ สื่อสารกันลำบาก ในห้องไม่มีผ้าเช็ดตัวให้ ถ้าขอใช้เสีย 1 ยูโรต่อผืน ไม่มีทีวี ตู้เย็น ทีวีหรือเครื่องต้มน้ำให้ แต่ก็ถือว่าใช้ได้แต่สู้โรงแรม (Hotel) แบบที่ไปนอนที่ฝรั่งเศสไม่ได้ ที่นั่นราคาคืนละ 30 ยูโรต่อคน มีอาหารเช้า ห้องน้ำในห้อง กาต้มน้ำ ทีวีให้ การจองตั๋วเครื่องบินและที่พักต้องใช้บัตรเครดิตเท่านั้น           

                 สเปน เป็นประเทศที่มีความเจริญมานาน มีศักยภาพสูงในอดีตถือว่าเป็นประเทศที่สองต่อจากโปรตุเกสที่ออกล่าอาณานิคม ส่วนใหญ่มีอาณานิคมในประเทศละตินอเมริกา เมืองหลวงคือมาดริด ที่เป็นเมืองที่สูง 650 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลบนทิวเขาและที่ราบลุ่มน้ำแมนแซแนร์ (Manzanares river) ด้านข้างมีภูเขาโอบล้อม ถือเป็นเมืองหลวงในยุโรปที่มีพระอาทิตย์ส่องแสงมากที่สุด เป็นแหล่งชุมชนมาตั้งแต่ก่อนประวัติศาสตร์ เดิมเป็นเมืองของแขกมัวร์ตั้งแต่กษัตริย์อีเมอร์ โมฮัมหมัดค.ศ. 852 ต่อมาศาสนาคริสต์เข้ามากลายเป็นอาณาจักรใหม่ (The House of Austria) มีกษัตริย์ชาลร์ส์ที่ 1 ตั้งราชวงศ์ใหม่ ค.ศ. 1516 มีการปรับเปลี่ยนเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันมีการปกครองแบบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ที่ขึ้นชื่อมากคือการแข่งสู้วัวกระทิงและทีมฟุตบอลเรียล มาดริด มีระบบขนส่งมวลชนที่ดีมากทั้งรถไฟ รถไฟใต้ดินและรถบัส ราคาถูกกว่าปารีสและบรัสเซลส์ มีแผนที่แจก ไปขอได้ตามจุดบริการข้อมูลนักท่องเที่ยว ที่มีสัญลักษณ์ตัว i เที่ยวสเปนรอบนี้ใช้เงินไป 9,500 บาท           

                  วันแรกออกจากสถาบันบ่ายสามครึ่งปั่นจักรยานไปขึ้นรถไฟที่สถานีกลางเวลาบ่ายสามห้าสิบนาที เป็นรถไฟระหว่างเมือง สภาพดีมาก สะอาด มีสองชั้นค่าโดยสารไปกลับ 21 ยูโร ไปลงที่สถานีชาร์ลารัวเกือบชั่วโมงครึ่งถึงแล้วต่อรถบัสไปสนามบินชาร์ลารัว (Chaleroir Brussels South) เป็นสนามบินขนาดเล็กมาก มีสายการบินต้นทุนต่ำให้บริการ 4 บริษัทคือไรอันแอร์ วิซแอร์ เจ็ทฟอร์ยูแอร์ ออนแอร์ เช็คอินตอนหกโมงเย็น เช็งเฟ็ง ไม่สามารถไปด้วยได้เพราะไม่ได้นำพาสปอร์ตไปด้วย มีแค่บัตรเรสิเดนซ์เจ้าหน้าที่ไม่ยอมให้เช็คอิน จึงต้องนั่งรถไฟกลับแอนท์เวิปและคืนตั๋วไม่ได้ ผมกับพี่เกษมเลยไปกันสองคน ทำให้ได้ทราบว่าบัตรที่แสดงว่าเป็นตัวเรานั้นคือพาสปอร์ต (National Identity) ส่วนเรสิเดนท์การ์ดเป็นเพียงวีซ่าเท่านั้น ต้องใช้ควบคู่กัน เครื่องบินออกเดินทาง 19.15 น. เป็นเครื่องบินโบอิ้ง 737-800 มีสองแถวๆละ 3 ที่นั่ง สายการบินต้นทุนต่ำ (Low fairness airline) ไม่มีเสิร์ฟอาหารแต่มีเครื่องดื่มและอาหารขายให้ผู้โดยสาร แอร์โฮสเตรส 4 คน ก็บริการดี ยิ้มแย้มแจ่มใส ถึงสนามบินแห่งชาติมาดริด (Madrid Barajas) เวลา 21.15 น. ต่อรถไฟใต้ดินไปถึงที่พักสี่ทุ่ม กว่าจะคุยกับเจ้าหน้าที่ที่พักรู้เรื่องเสียเวลานานมากเพราะเขาพูดได้เฉพาะภาษาสเปนเท่านั้น คืนนั้นรีบนอนตอนห้าทุ่มแต่นอนไม่ค่อยหลับเสียงคนเดิน คุยกัน จ๊อกแจ๊ก จอแจ เสียงรถบนถนนดังตลอดทั้งคืน สมกับสมญานามของมาดริดที่ว่า นครที่ไม่เคยหลับ ผมจึงอยู่ในนครที่ทำให้ผมนอนไม่หลับเกือบทั้งคืน การเดินทางด้วยเครื่องบินใช้เวลาไม่นานแต่กว่าจะได้เดินทาง กว่าจะไปถึงสนามบินใช้เวลานาน รวมแล้วกว่าจะถึงมาดริดก็ 6 ชั่วโมง พอๆกับนั่งรถบัสไปปารีสเลย นั่งรสบัสใช้เวลานานกว่า แต่สะดวกตรงที่ขึ้นรถที่แอนท์เวิปนั่งรวดเดียวถึงที่หมายเลย ไม่ต้องต่อหลายต่อ           

                   วันที่สองตื่นเช้าอาบน้ำกินอาหารเช้าแล้วเดินไปเที่ยวมาดริดที่จตุรัสมายอ (Plaza Mayor) สร้างสมัยพระเจ้าฟิลิปที่ 3 ตั้งแต่ ค.ศ. 1617 รายรอบไปด้วยอาคารหลายหลังสวยงามสไตล์บารอค ปัจจับันเป็นตลาดขายสินค้า ร้านอาหาร ตรงกลางมีอนุสาวรีย์พระเจ้าฟิลิปที่ 3 เด่นตระหง่านอยู่ แล้วไปชมโบสถ์อัลมูดินา (Cathedral of Almudina) ต่อด้วยชมกำแพงเก่าสมัยแขกมัวร์ (Arab city wall) แนวท่อส่งน้ำ (Viaduct) เข้าพระราชวังที่มาสร้างเสร็จในศตวรรษที่ 19 แล้วไปชมพระราชวัง (Palacio Real) ขนาดใหญ่สร้างตั้งแต่ 1734-1764 ใช้เป็นที่ประทับของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ปัจจุบันจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้เข้าชมเกี่ยวกับดนตรี ห้องสมุด ยาสมัยก่อน อุปกรณ์ออกรบของกษัตริย์ และเป็นที่จัดกิจกรรมในโอกาสสำคัญของราชวงศ์ เสียดายที่ผมไปตอนเช้ายังไม่เปิดทำการ ด้านหน้ามีลานจัตุรัสโอเรนเต้ (Plaza Oriente) มีรูปปั้นของกษัตริย์ราชวงศ์สเปน มีสวนซาบาตินี่ (Sabatini garden) ตกแต่งพุ่มไม้เป็นทรงเรขาคณิตและอนุสาวรีย์กษัตริย์ฟิลิปที่ 4  เดินข้ามถนนไปเจอโรงละครหลวง (Royal Theatre) แล้วนั่งรถไฟไปชมประตูชัย (Puerta de Alcala) ผ่านสวนเรทิโร่ (Retiro park) ไปชมน้ำพุซิเบเลส (Cibeles) ตั้งอยู่ด้านหน้าสำนักงานโทรคมนาคม (Palace of communication) อันสวยงามและธนาคารชาติสเปน แล้วเดินไปตามถนนสายน้ำพุ (Paseo del Prado) ผ่านพิพิธภัณฑ์พราโด้ (Prado museum) มีคนมารอเข้าชมเป็นแถวยาวมาก จึงไม่ได้เข้าไป อาคารสร้างแบบคลาสสิคใหม่ในปี 1785  เป็นที่เก็บภาพวาดเก่าอันทรงคุณค่าที่วาดโดยจิตกรมีชื่อเช่นโกย่า ปิคาสโซ่ ของกษัตริย์เฟอร์ดินานที่ 7 เมื่อปี 1813 แล้วเดินเข้าไปชมสวนเรทิโร่ มีประตูชัยด้านหน้า มีสระน้ำขนาดใหญ่และมีอนุสาวรีย์พระเจ้าอัลฟองโซที่ 12 ภายในสวนร่มรื่น กว้างขวางมาก เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ วิ่งออกกำลังกายของชาวสเปน

                 นั่งรถไฟใต้ดินไปลงที่สถานีปริ๊นซิปี้ พิโอ้ (Principe Pio) เพื่อขึ้นรถบัสไปเที่ยวเมืองเซโกเวีย (Segovia) ที่อยู่ห่างไปอีก 90 กิโลเมตร รถออกตอน 12.30 น.ใช้เวลา 1 ชั่วโมงครึ่งถึงสถานีจอดรถ ขอแผนที่และทานอาหารกลางวันเสร็จก็ออกเดินเที่ยวกันต่อ เซโกเวีย เป็นเมืองโบราณบนภูเขา มีกำแพงเมืองล้อมรอบจึงต้องมีระบบส่งน้ำเข้าเมืองให้เพียงพอโดยมีแนวกำแพงวางท่อส่งน้ำของโรมันขนาดใหญ่มาก (Aquiducto Romano) เดินขึ้นบันไดเข้าไปในเมืองมีกำแพงเมืองและป้อมปราการ ทางขึ้นมีศูนย์ข้อมูลแจกนักท่องเที่ยวฟรี เดินเข้าไปในเมืองที่ซ่อนตัวอยู่หลังกำแพงเมือง เดินผ่านอาคารหลังหนึ่งที่มีผนังปูนเป็นรูปทรงเพชร (Casa de Los Picos) เดินไปตามถนนในเมืองผ่านอาคารแบบโบราณที่ยังใช้อยู่ในปัจจุบันรูปทรงโดดเด่น มีโบสถ์แบบคริสต์ เดินไปเรื่อยๆจนไปถึงปราสาท(Alcazar)ที่ตั้งบนเนินบริเวณที่แม่น้ำอีเรสม่ากับคลาโมเรสมาบรรจบกัน สร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 สามารถชมทิวทัศน์นอกตัวเมืองที่เป็นเนิเขา สลับที่ราบ มองเห็นมหาวิทยาลัยตั้งอยู่ไกลๆพร้อมถนนที่ทอดยาวลดเลี้ยวลงจากตัวเมืองตรงเข้าไปหา ขากลับเดินลัดเลาะมาตามแนวกำแพงเมือง ชมทิวทัศน์รายทาง ผ่านพิพิธภัณฑ์เซโกเวียร์ (Casa Del Sol) และเดินมาเรื่อยๆจนถึงท่ารถบัส นั่งรถบัสตอน 16.30 น.กลับถึงมาดริด 18.00 น. ออกจากสถานีรถเดินเลยไปชมสะพานเก่าข้ามแม่น้ำ (Segovia bridge) ที่สร้างสมัยกษัตริย์ฟิลิปที่ 2 ปี ค.ศ. 1582 ตอนนี้แม่น้ำมีน้ำน้อยมาก จึงไม่สวยนัก เดินต่อไปชมประตูชัย (Puerto de Toledo) สร้างตั้งแต่กษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 3 ถึงเฟอร์ดินานด์ที่ 7 ในปี 1827 เดินต่อไปยังเนินเขาสูงที่จัดเป็นสวนกุหลาบ (Parque del Oeste) กว่าจะได้ชมความงามของทิวทัศน์เมืองมาดริดยามพระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้าก็เล่นเอาหอบเลย บนเนินเขาได้ชมเงาสะท้อนในน้ำของโบสถ์โบราณ (Templo de Debod) ที่ต้องแสงไฟยามค่ำคืน น่าแปลกมาที่แนวสิ่งก่อสร้างทั้งหมดสามารถสะท้อนให้เห็นในน้ำได้อย่างสวยงามมากต่อจากนั้นเดินไปถนนแกรนด์เวียผ่านอาคารเมโทรโปลิส (Metropolis) แวะทานไก่ทอดเคเอฟซีเป็นอาหารเย็นแล้วเดินชมวิถีชีวิตยามค่ำคืนบนถนนสายหลักที่คราคล่ำไปด้วยฝูงชนที่มาซื้อของ เดินเที่ยว กินอาหาร เดินเรื่อยไปจนถึงจัตุรัสโซล (Plaza de Sol) พื้นที่กว้างดูแคบไปถนัดตากับผู้คนมากมายที่มาเดินพูดคุยกัน ได้ถ่ายรูปกับรูปปั้นหมีที่กำลังยืนกับต้นไม้ที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองมาดริดแล้วกลับที่พักเกือบห้าทุ่ม           

                  วันที่สามตอนเช้านั่งรถไฟความเร็วสูง (Renfe AVE) ไปเมืองทอเลโด (Toledo) ก่อนไปฝากกระเป๋าไว้ที่สถานีรถไฟเสียค่าบริการ 2.4 ยูโรต่อ 24 ชั่วโมง วันอาทิตย์รถเที่ยวแรกออกตอน 9.20 น. ต้องรอเกือบชั่วโมงจึงเดินออกไปชมนอกสถานีรถไฟเห็นกระทรวงเกษตรเป็นอาคารเก่าที่สวยงามมาก ตัวสถานีรถไฟเองก็สร้างได้อย่างโดดเด่น เดินเล่นรอบๆสถานีรถไฟ ชิมขนมสเปนแล้วกลับเข้าไปภายในสถานีรถไฟ (Puerta de Atocha) ชมสวนป่าเขตร้อนชื้นที่จัดไว้อย่างลงตัวในโถงอาคารรอของผู้โดยสาร ขึ้นรถไฟเวลา 9.20 น. เป็นรถไฟที่สภาพดีมาก เหมือนนั่งในเครื่องบินเลย วิ่งเร็ว นิ่ง เงียบ นั่งมองทิวทัศน์สองข้างทางได้แค่ 30 นาทีก็ใช้เวลาแค่ 30 นาที ในระยะทาง 71 ก.ม.ถึงเมืองทอเลโด้ เมืองบนภูเขาที่เป็นเมืองมรดกโลก ลงจากรถไฟซื้อแผนที่แล้วก็เริ่มต้นเดินเที่ยวไปตามถนนลาดยางริมฝั่งแม่น้ำทาโจ ที่ไหลโอบล้อมภูเขาอันเป็นที่ตั้งของเมือง เดินไปจนถึงสะพานเก่าสมัยโรมัน (Puente de Alcantara) มีป้อมปราการอยู่ เราข้ามฝั่งไปด้านตัวเมือง ปีนขึ้นไปบนกำแพงเมือง ชมความงามของปราสาท (Castilo de San Servando) บนเขาลูกตรงข้ามได้ เดินเข้าไปข้างในไม่น่าเชื่อว่าตัวเมืองที่เป็นอาคารตึกสูงใหญ่แบบโบราณซ่อนตัวอยู่ในนั้นอย่างหนาแน่น ถนนเป็นพื้นหินรูปสี่เหลี่ยมที่กว้างไม่มากนักใช้ทั้งรถและคนเดิน ขึ้นไปจนถึงบนจุดข้อมูลนักท่องเที่ยว ได้แผนที่พร้อมคำแนะนำ เดินไปที่โรงแรมอัลฟองโซ่ที่ 6 สวยงามแบบโรมัน ด้านล่างขายของที่ระลึก ด้านข้างเป็นปราสาท (Alcazar) วันอาทิตย์ปิด จึงไม่ได้เข้าชม เดินไปตามถนน มีนักท่องเที่ยวไปเที่ยวกันมาก ไปจนถึงโบถส์ (Cathedral) ประจำเมือง ข้างในตกแต่งสวยงาม  เจอคณะของท่านผู้ว่าภูเก็ตมาศึกษาดูงาน พี่วันชัย นายแพทย์ สสจ.ภูเก็ต (กำลังไปรับตำแหน่งรองอธิบดีกรมการแพทย์) มากับคณะด้วย ได้คุยกันจึงทราบข่าวการเสียชีวิตของพี่หงวน (นพ.สงวน นิตยารัมพงศ์ เลขาธิการ สปสช. ผู้บุกเบิกงานด้านหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทย) เดินเที่ยวลัดเลาะไปตามถนนในเมืองขึ้นเนินบ้าง ลงที่ต่ำบ้าง ชมสิ่งก่อสร้างบ้านเรือนที่เป็นอาคารหินคอนกรีตที่ไม่น่าเชื่อว่าคนสมัยก่อนจะสามารถนำวัสดุขึ้นเขามาก่อสร้างเป็นเมืองได้ขนาดนี้ เดินไปจนถึงแนวกำแพงเมืองได้ชมทิวทัศน์นอกตัวเมืองหลายจุด แล้วก็เดินลัดเลาะจนกลับมาถึงสะพานที่เข้าไปอีกครั้ง กลับมาสถานีรถไฟและรถไฟออกเวลา 13.30 น.

                  กลับถึงมาดริดที่สถานีอะโทชา กินอาหารกลางวันแล้วนั่งรถไฟท้องถิ่นตอน 14.30 น. ไปเที่ยวเมืองเอล เอสคอเรียล (El Escorial) ห่างไปทางทิศตะวันตกของมาดริด 49 กิโลเมตร ใช้เวลาเกือบชั่วโมง พอไปถึงได้เดินไปในสวนจนไปถึงพระราชวังและพระอารามหลวง (Royal Monastery of San Lorenzo) ที่เชิงเขากัวดารามา สร้างในปี 1562-1584 และตกแต่งห้องพักของพระราชวังและพระอารามสมัยกษัตริย์ฟิลิปที่ 2 เป็นอาคารขนาดใหญ่ มีลานด้านหน้ากว้างใหญ่มาก ด้านข้างเป็นสวนหย่อมที่เดินชมโดยรอบและมองเห็นทิวทัศน์อันงดงามได้ ด้านล่างมีสระน้ำขนาดใหญ่ ภายในอาคารจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้เข้าชมความงามของอารามและพระราชวัง ตอนแรกกะจะไม้กางเขนขนาดใหญ่ (Valley of the Fallon) ที่หุบเขาคูลกามูรอส (Valley of Cuelgamuros) ที่มองเห็นไกลๆตอนไปเซโกเวียร์ แต่ไม่สามารถหารถไปได้และเวลากระชั้นชิดมากจึงตัดสินใจเดินชมแบบสบายๆที่ราชวังเอสโคเรียลอย่างเดียว ได้นั่งพักคลายความเมื่อยล้าจากการเดินชมเมืองบนเขามาแล้วสามเมือง นั่งชมความงามของพระอาทิตย์ยามเย็น รับลมที่ลูบไล้ตามผิวกลายคลายความเหน็ดเหนื่อยด้วยความสดชื่นของบรรยากาศ

                  จนถึง 18.15 น. นั่งรถไฟกลับ ทานอาหารเย็นที่สถานีรถไฟ รับกระเป๋าคืน พระอาทิตย์ลับตาไปแล้วเรานั่งรถไฟใต้ดินไปชมอาคารสนามแข่งสู้วัวกระทิงที่สร้างได้อย่างโอ่โถง ใหญ่โต จุผู้ชมได้ถึง 22,200 คน ที่จตุรัสMonumental de las Ventus แล้วขึ้นรถไฟใต้ดินไปชมอนุสาวรีย์โคลัมบัส (Monument of Columbus) ที่จัตุรัสโคลอน (Plaza de Colon) และสวนแห่งการค้นพบ(Garden of Discovery) สร้างสไตล์นีโอโกธิค เมื่อ 1885 ด้านหน้าเป็นน้ำพุขนาดใหญ่ มองเห็นระยิบระยับเมื่อต้องแสงไฟยามค่ำคืน ยิ่งทำให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ผู้กล้าล่องเรือจนพบแผ่นดินใหม่อย่างอเมริกา ด้านหน้าเป็นอาคารสูงของ AZCA Complex ที่มีอาคารสูง 43 ชั้น 150 เมตร แล้วก็กลับมาเดินเที่ยวถนนแกรนด์เวียร์ แวะทานไอศกรีมที่แมคโดนัลด์ เดินเที่ยวจนเวลา 23.00 น. นั่งรถไฟใต้ดินกลับไปสนามบินมาดริด

                  วันที่สี่ บ๊ายบาย เอสปันญ่า นอนพักกันที่สนามบินเนื่องจากเช้ามืดไม่มีรถจากตัวเมืองมาที่สนามบิน รถไฟใต้ดินเริ่มงาน 6.00 น. เสี่ยงตกเครื่องบินได้ ตอนตีสี่ครึ่งได้เช็คอิน ขึ้นเครื่องตอน 6.15 ถึงสนามบินชาร์เลอรัวส์ ต่อรถบัสสนามบินฟรี (แสดงตั๋วรถไฟให้ดู ขามาไม่ได้โชว์ตั๋วต้องจ่ายค่าตั๋วไป 1.95 ยูโร) มาลงที่สถานีรถไฟแล้วต่อรถไฟกลับแอนท์เวิป ปรากฎว่ารถไฟขบวนที่นั่งไปจอดแค่สถานีเบอร์เคม (Antwerp Berchem) เท่านั้น ถ้าจะลงแอนท์เวิป (Antwerp Central) ต้องลงเปลี่ยนรถที่สถานีมิเคลิน (Michelin) ทำให้ต้องนั่งรถขบวนเดิมกลับมาอีกหลายสถานี แล้วขึ้นขบวนใหม่กลับไปแอนท์เวิปเสียเวลาไปเกือบชั่วโมง คนตรวจตั๋วบอกว่าเขาประกาศเป็นภาษาดัชท์ ทำให้ฟังไม่รู้เรื่อง กลับถึงบ้านอาบน้ำกินข้าวกลางวันแล้วต่อสไกป์ไปหาภรรยาและลูกด้วยความคิดถึง แล้วก็ไปเรียนหนังสือ

                   เข้าสู่สัปดาห์ที่ 20 วันจันทร์ที่ 21 มกราคม 2551 ช่วงเช้ากลับมาเข้าเรียนวิชานโยบายสุขภาพกับอาจารย์วิมไม่ทันเพราะเสียเวลาช่วงนั่งรถไฟกลับ ช่วงบ่ายเรียนเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขกับอาจารย์บรูโนและคาบสุดท้ายเป็นชั่วโมงแนะแนวของอาจารย์วาลาเรียเพื่อเตรียมทำเค้าโครงวิทยานิพนธ์ส่งอาจารย์วันอังคารที่ 22 ถึงวันศุกร์ที่ 25 มกราคม 2551 เรียนวิชาเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขกับอาจารย์บรูโนกับการบริหารและประเมินโครงการกับอาจารย์กี อาจารย์แพทริคและอาจารย์แจนวันเสาร์ที่ 26 มกราคม 2551 ตอนเช้าไปจ่ายตลาดและนั่งเขียนงานวิจัย           

                  เที่ยวสเปนงวดนี้เรียกได้ว่าเป็นทรหดทัวร์หรือวิ่งตะลอนทัวร์ เป็นการเที่ยวชมเมืองมากกว่าการไปเที่ยวพักผ่อน จึงค่อนข้างเหนื่อยมาก แต่ก็เที่ยวได้หลายแห่งมากเช่นกัน เรียกว่าได้อย่างเสียอย่าง ตามหลักเศรษฐศาสตร์ทรัพยากรมีจำกัด (เงิน เวลา โอกาส) แต่ความต้องการ (ความอยาก) ของมนุษย์มีไม่จำกัด คนทุกคนจึงมีเหตุผลของตัวเองเสมอ ถ้าเลือกทำอย่างหนึ่ง ก็ไม่ได้ทำอีกอย่างหนึ่ง เป็นค่าเสียโอกาส (Opportunity cost) โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี (No free lunch) เมื่อได้อย่างหนึ่งก็ต้องจ่ายสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปเช่นกัน ได้ทุนมาเรียน ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ก็ต้องอยู่ห่างไกลบ้าน ไกลครอบครัว เงินค่าตอบแทนลดลง ออกเที่ยววันหยุดก็ต้องอ่านหนังสือมากวันธรรมดา เที่ยวมากแห่งก็ได้เที่ยวแต่ละแห่งไม่นาน

พิเชฐ  บัญญัติ

Verbond straat 52, 2000 Antwerp, Belgium

26 มกราคม 2551, 09.28 น. ( 15.28 น.เมืองไทย )

หมายเลขบันทึก: 161535เขียนเมื่อ 26 มกราคม 2008 15:26 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 มิถุนายน 2012 07:16 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

เมื่อวันที่ 19 มกราคม ที่ผ่านมา เป็นวันมงคลของน้องสาวคนหนึ่งที่ได้ทำงานร่วมกันมาหลายปี คือปูหรือวรวรรณ เสียดายที่ผมไม่ได้ไปร่วมงาน แต่ก็ได้ส่งใจไปร่วมและคำอวยพรเป็นบทกลอนฝากภรรยาไปให้พิธีกรอ่านในวันงานด้วย สุขสันต์วันวิวาห์ครับ

ร้อยอักษร พรจากใจ ให้บ่าวสาว       ด้วยเรื่องราว วันวิวาห์ พาสุขสันต์

แด่วรวรรณ อรรณพอยู่ เคียงคู่กัน     บรรลุฝัน  ร่วมภิรมย์ สมอุรา

ปลูกต้นรัก ดอกรักงาม บานสะพรั่ง   สองใจหวัง อิงแอบ แนบเสน่หา

ได้เรียนรู้ บ่มรักผ่าน กาลเวลา            บรรจบมา วันฤกษ์ดี ที่รอคอย

ขอทั้งสอง เปิดใจ ใฝ่เรียนรู้                 ชีวิตคู่ ประคองไว้ ไม่เหงาหงอย

ต้องปรับตัว ปรับใจ ไม่เลื่อนลอย        อย่าท้อถอย จงก้าวไกล ไปด้วยกัน

มีปัญหา พบอุปสรรค ช่วยกันแก้         หมั่นดูแล เสริมแรงใจ ให้หฤหรรษ์

คอยปลอบใจ ถนอมจิต ทุกวี่วัน           ดุจลิ้นฟัน กระทบได้ จงให้อภัย

ขออวยพร บ่าวสาว คลอเคียงคู่            ร่วมสุขอยู่ เคียงข้าง อย่างสดใส

ห่างไกลทุกข์ สิ่งเลวร้าย หนีหายไป       ก้าวหน้าได้ รักมั่นอยู่ คู่นิรันดร์

ความรักเป็นสิ่งสวยงามสำหรับทุกคนครับ

หมอพิเชฐ

เรียนอาจารย์หมออัจฉราที่นับถือ

ขอบคุณมากครับ

สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน

ใกล้เทศกาลวันแห่งความรักแล้ว ฝากเพลงไพเราะๆ ความหมายดีๆสำหรับคู่รัก เป็นเพลงที่ผมชอบมาก ลองฟังดูนะครับhttp://4adsense2.exteen.com/20070531/nick 

 

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท