ผู้มาจากเมืองสยามไม่มีทางรู้เลยว่า ทรายมหึมาที่เราย่ำไปทีละก้าวนั้น ใต้รองเท้าของเราได้เหยียบลงไปบนเกล็ดทองคำ ทองคำจริงๆครับ ธรรมชาติส่งมอบมาให้โดยไม่ได้ป่าวประกาศใดๆ ผู้มีปัญญาเท่านั้นที่จะค้นหาพบ...ผู้มีทักษะและความพยายามเท่านั้นจะได้สัมผัสเรา..
เราผู้มาจากแดนไกลบินข้ามประเทศมาล่องแม่น้ำโขงที่เมืองหลวงพระบาง
เมืองไชยบุรี เมืองนาน เราใช้เรือเดินทางไปเยี่ยมชาวบ้านตามลำน้ำโขง
ก่อนขึ้นหมู่บ้านเราต้องย่ำไปบนหาดทรายผสมก้อนกรวดทั้งเล็กใหญ่สุดลูกหูลูกตาตามชายฝั่งแม่น้ำโขง
ที่แรงน้ำพัดพามา
ผู้มาจากเมืองสยามไม่มีทางรู้เลยว่า
ทรายมหึมาที่เราย่ำไปทีละก้าวนั้น
ใต้รองเท้าของเราได้เหยียบลงไปบนเกล็ดทองคำ ทองคำจริงๆครับ
ธรรมชาติส่งมอบมาให้โดยไม่ได้ป่าวประกาศใดๆ
ผู้มีปัญญาเท่านั้นที่จะค้นหาพบ...ผู้มีทักษะและความพยายามเท่านั้นจะได้สัมผัสเรา..
ไปดูเขาหาทองกันดีกว่า
มารู้จักเครื่องมือประกอบการร่อนหาแร่ทองคำ
(1)
เรียกว่า "แหว่ก" เป็นเครื่องมือประจำบ้านเหมือนเสียมเหมือนจอบ
ใช้สำหรับดายหญ้า
และขุดดินแบบงานเล็ก
(2)
เรียกว่า "เพาะ"
เป็นภาชนะสำหรับเก็บดินทรายจากการใช้แหว่กขุดเอามาใส่เพาะนี้ไปร่อนหาทองต่อไป
ภาชนะรูปนี้ไม่ทราบว่าเรียกอะไร
ขอเรียกว่า “ตะกร้าตาห่าง”
สำหรับใส่ทรายจาก “เพาะ”
เพื่อกรองเอากรวดก้อนใหญ่ๆออกจากบ่าง
(4)
คือ “บ่าง”
เป็นเครื่องมือร่อนทรายหาทอง ทำด้วยไม้เนื้อแข็ง
ขุดเป็นรูปคล้ายกระทะก้นตื้นๆ
มีที่จับตรงขอบ
(5) กะละมังใบเล็ก
ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 ฟุต
มีผ้าไนล่อนคล้ายมุ้งปิดอยู่
สำหรับใส่เศษทรายสุดท้ายที่มีเศษทองปนอยู่
โดยจะเอาน้ำใส่ไว้ด้วย
ขั้นตอนการร่อนทอง
เด็กๆจะเอาแหว่ก(เครื่องมือขุดทราย)ไปขุดเอาทรายที่มักผสมกรวดตามชายหาด
แล้วเอาใส่เพาะ
แม่รับเอา “เพาะ”
มาจากลูก แม่จะเอาบ่าง(เครื่องมือร่อนทอง)
วางลง เอาตะกร้าตาห่างวางลงบน “บ่าง”
แล้วเอาทรายผสมกรวดใน “เพาะ”
เทใส่ลงในตะกร้าตาห่างนั้น แล้วยกเอาบ่าง
และตะกร้าตาห่างลงแช่น้ำ เขย่าตะกร้าตาห่างนั้นทรายก็จะตกลงไปในบ่าง
ก้อนกรวดใหญ่ๆก็จะไม่รอดลงไป จะอยู่ในตะกร้าตาห่างนั้น
ก็เอาตะกร้าตาห่างยกเอาก้อนกรวดออกไปจากบ่าง
ใน “บ่าง”
ก็จะเหลือเพียงทรายเม็ดเล็กๆ
แม่ก็จะทำหน้าที่ร่อนทรายโดยเอาน้ำใส่เข้าไปพอสมควรแล้วก็ร่อนค่อยๆเอาทรายออกจากบ่างทีละน้อยๆ
เมื่อร่อนจนเหลือเศษทรายสุดท้ายก็จะตรวจสอบด้วยสายตาว่ามีเศษทองเล็กๆอยู่หรือไม่
ซึ่งสามารถใช้สายตาดูได้
จะเห็นความต่างของเศษทองกับสิ่งอื่นๆในส่วนที่เหลือก้นบ่างนั้น
เมื่อพบว่าการร่อนครั้งนี้ได้เศษทองชิ้นเล็กๆ
ก็จะยกบ่างไปที่กะละมังใบเล็กที่เตรียมไว้แล้วนั้น
ค่อยๆบรรจงเทเศษทองพร้อมทรายที่ติดมานั้นลงในกะละมังที่เอาน้ำใส่ลงไปด้วย
รูปนี้ที่วงแดงๆคือเศษทองชิ้นเล็กๆที่ปนอยู่กับเศษทรายที่ผ่านการร่อนจนเหลือติดก้น
“บ่าง”
แล้วไปเริ่มขั้นตอนที่หนึ่งใหม่ วนเวียนเช่นนี้ทั้งวัน
จนในกะละมังมีเศษทองมากเพียงพอก็มาทำขั้นตอน
“การจับทอง”
การจับทองเป็นขั้นตอนที่สำคัญ
ในขวด(ลิพโพนั้น)มีธาตุปรอทแช่น้ำอยู่ด้านในปริมาณที่เห็นสัก
10 CC ถ้าเราเอียงขวดไปมา
ปรอทจะกลิ้งไปมาภายในขวดนั้น
“แม่ร่อน”
คนนี้เทปรอทออกจากขวดลงไปในกะละมังนั้นที่มีเศษทองปนอยู่กับทรายแล้วก็กลิ้งปรอทไปมาจนทั่ว
การทำเช่นนี้เพื่อให้ปรอทกลิ้งไปมาจับเศษทอง
ซึ่งเป็นคุณสมบัติธาตุปรอท ที่จะจับทองเข้ามาในตัวเอง
หรือหุ้มเอามาไว้ในตัวเอง
แต่ปรอทจะไม่จับสิ่งอื่นๆเลย ????
การจับหรือหุ้มนั้นเพียงจับหรือหุ้มเฉยๆ
ปรอทไม่ได้ละลายเศษทองจนเป็นเนื้อเดียวกัน
นี่คือภูมิปัญญาผู้รู้กฎเกณฑ์ทางธรรมชาติของปรอท...
เมื่อแน่ใจว่าปรอทจับเศษทองหมดสิ้นแล้ว
ก็เอาปรอทนั้นเทลงในเศษ “ผ้าไนล่อน”
บางๆผืนเล็กนั้น
แล้วทำการม้วนผ้านั้น
แล้วบิดผ้านั้นลงบนปากขวด(ลิพโพ)
คุณสมบัติอันวิเศษของปรอทอีกเช่นกันจะถูกแรงบีบ
แรงบิดผ้าเล็ดลอดออกจากผ้าไนล่อนออกมาหยดลงในขวดลิพโพเช่นเดิม
จนหมดสิ้น
ในผ้านั้นก็จะเหลือเศษทองที่เขาจับหรือหุ้มเอาไว้ก่อนนั้น
“แม่ร่อน”
ก็จะเอาเศษทองล้วนๆในผ้ามาขยำทำให้เป็นก้อนกลมๆ
ซึ่งมักจะเอาก้อนทองซึ่งมีสีเงินๆนั้นเอาใส่ขวดเล็กๆไว้เพื่อป้องกันการหล่นหายไป
สิ่งที่ได้นี้คือสิ่งสุดท้ายของกระบวนการร่อนทอง
ทองที่ได้นี้เขาเรียกว่า
“คำ 8”
หรือทองคำ 80% สามารถจะซื้อขายได้เลย
โดยมีหน่วยน้ำหนักของทองนี้คือ 10 ลี้เท่ากับ 1
หุน 10 หุนเท่ากับ 1 สลึง 4
สลึงเท่ากับ 1 บาท 10
สลึงเท่ากับ 1 ฮอง เท่าที่สอบถามทองราคา
หุนละ 70 พันกีบ หรือประมาณ 250 บาท
เมื่อเทียบทอง 1 บาทก็ประมาณ 10,000
บาท
ปกติพ่อค้าก็ซื้อ
“คำ 8”
จากชาวบ้านไปทำเป็น “คำ 10”
เพื่อให้บริสุทธ์มากขึ้น
หรือเพิ่มมูลค่าทองนั่นเอง
ชาวบ้านกล่าวว่า
ใช้เวลาประมาณ 2-3 วันจะได้
“คำ” ประมาณ 1
หุน ดังนั้น ในระยะเวลา 20-30
วันจะขายคำได้เงินประมาณ 2,500
บาท
ชาวบ้านกล่าวว่าคนที่มาทำการร่อนคำนั้นก็ทำกันเป็นทุกครัวเรือน
เป็นอาชีพของสตรีเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจะคู่กับเด็กเล็ก
และมิได้หมายความว่าหาดทรายทุกบ้านจะมีเศษคำ
แล้วแต่การพัดพามาของน้ำตามธรรมชาติ
ผู้บันทึกเชื่อว่า
น้อยคนนักจะได้เห็นและทราบว่าการร่อนทองทำกันเช่นไร
และมีอาชีพนี้อยู่ในโลกนี้
ขอบันทึกไว้เป็นข้อมูลสาธารณะครับ...
------------
หมายเหตุ:
ภาพทั้งหมดถ่ายที่บ้านปากไผ่ เมืองไชยบุรี ลาว
เมื่อวันที่ 16 มกราคม
2551
การเรียกชื่อภาชนะและต่างๆนั้น ผมสกดตามภาษาพูดที่ได้ยินมา
หากคลาดเคลื่อนจากคำจริงๆ
ท่านผู้รู้กรุณาแจ้งให้ทราบด้วยจะเป็นพระคุณยิ่งครับ