Autistic Spectrum Disorders เป็นกลุ่มของความผิดปกติทางพัฒนาการต่างๆ ซึ่งได้แก่ Autistic Disorder (AD), Pervasive Developmental Disorder not otherwise specified (PDD-NOS), Asperger syndrome, Rett syndrome และ Childhood disintegrative disorder
ความเป็นมา Dr. Leo Kanner จิตแพทย์ชาวอเมริกันแห่งมหาวิทยาลัยจอห์นฮอปกินส์ ได้รายงานกลุ่มเด็กที่มีพฤติกรรมต่างจากเด็กปกติทั่วไป ในปี ค.ศ.1943 โดยเรียกว่า infantile autism ต่อมาในปี ค.ศ.1980 ตามเกณฑ์การวินิจฉัยของ DSM III ( Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders, third edition) ได้ใช้คำว่า PDD ซึ่งมีความหมายกว้างกว่าเดิม จนกระทั่งปี ค.ศ.1994 DSM IV ได้รวมกลุ่มอาการอื่นๆ เช่น Asperger syndrome หรือ PDD-NOS ไว้ในกลุ่มอาการ PDD ด้วย ทำให้ในปัจจุบันแม้เด็กมีความผิดปกติเพียงเล็กน้อยก็อาจถูกจัดอยู่ในกลุ่มนี้ได้ โดยมองกลุ่มอาการทั้งหมดนี้ว่าเป็น continuum คือมีความต่อเนื่องของอาการตั้งแต่น้อยๆไปจนถึงมากๆและอาจไม่มีเส้นแบ่งที่ชัดเจนในการแยกโรคบางชนิดออกจากกันในกลุ่มอาการนี้ จึงมีการใช้คำว่า spectrum เปรียบเสมือนการให้แสงอาทิตย์ผ่านแท่งแก้วปริซึมซึ่งจะมีการแยกของแสงออกเป็น 7 สี เช่นสายรุ้ง
ลักษณะของเด็กออทิสติก ได้แก่
ก. มีการสูญเสียปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ได้แก่
1. ไม่สามารถแสดงถึงการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับผู้อื่น เช่น ไม่มีการสบตา ไม่มีการแสดงออกทางสีหน้าหรือท่าทาง
2. ไม่สามารถที่จะผูกสัมพันธ์กับใครได้
3. ขาดการแสวงหาเพื่อน ไม่สนใจใคร
4. ไม่สามารถมีการติดต่อทางสังคมและแสดงออกทางอารมณ์ที่เหมาะสม
ข. มีการสูญเสียทางการสื่อความหมาย ได้แก่
1. มีความล่าช้าหรือไม่มีพัฒนาการในด้านภาษาพูด ไม่สามารถใช้กิริยาท่าทางในการสื่อความหมายได้
2. ไม่สามารถสนทนาโต้ตอบกับผู้อื่นได้อย่างเข้าใจและเหมาะสม
3. มักจะพูดซ้ำๆในสิ่งที่ตนเองต้องการพูดและสนใจ โดยไม่สนใจว่าจะมีผู้อื่นฟังหรือไม่
4. ไม่สามารถเล่นสมมุติหรือเล่นเลียนแบบได้อย่างเหมาะสมตามวัย
ค. มีพฤติกรรม ความสนใจและการกระทำซ้ำๆ ได้แก่
1. มีพฤติกรรมซ้ำๆอย่างเดียวหรือหลายอย่าง มีความสนใจอย่างผิดปกติในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
2. ไม่สามารถยืดหยุ่นในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันโดยต้องกระทำตามขั้นตอนเดิมทุกครั้ง
3. มีการเคลื่อนไหวซ้ำๆ เช่น การโบกมือไปมาหรือหมุนตัวไปรอบๆ
4. มีความสนใจเกี่ยวกับส่วนหนึ่งส่วนใดของวัตถุหรือของเล่นเท่านั้น
สาเหตุ ยังไม่ทราบแน่นอน เชื่อว่าเป็นความผิดปกติของสมอง โดยมีปัจจัยที่เข้ามาเกี่ยวข้องคือ ปัจจัยทางด้านพันธุกรรม ซึ่งเป็นปัจจัยที่กำลังได้รับความสนใจมากที่สุด โดยพบว่า
- อัตราการเกิดซ้ำในบุตรคนต่อไปในครอบครัวที่มีบุตรคนหนึ่งเป็นโรคออทิซึมแล้วสูงถึงร้อยละ 6-8 ซึ่งสูงกว่าในประชากรทั่วไปถึง 50 เท่า
- คู่แฝดที่เกิดจากไข่ใบเดียวกัน มีโอกาสที่จะเป็นออทิซึมได้เช่นเดียวกัน ในขณะที่คู่แฝดที่เกิดจากไข่คนละใบ เมื่อคนหนึ่งเป็นออทิซึมแล้ว อีกคนหนึ่งจะไม่เป็น
- พบความสัมพันธ์ระหว่างยีนบนโครโมโซมบางตำแหน่งกับพัฒนาการทางด้านภาษาและลักษณะออทิสติก รวมทั้งกลุ่มอาการโครโมโซมเอกซ์เปราะ
แนวทางการให้ความช่วยเหลือเด็กออทิสติก ได้แก่ การให้ความรู้แก่พ่อแม่เกี่ยวกับความผิดปกติ อัตราการเกิดซ้ำ การดูแลและอื่นๆ การส่งเสริมพัฒนาการ รวมทั้งการฝึกพูด การปรับพฤติกรรม การศึกษาพิเศษ และการใช้ยา