ควบม้าเหล็กกลับบ้าน(๓) : แม้ต่างแต่ร่วมทาง


“ไม่ง่ายนักที่คนเราจะมาพบกัน ดังนั้นควรรักษาความสัมพันธ์ระหว่างกันไว้ให้ดี แม้อาจเป็นครั้งเดียวที่ได้เจอกัน”

 หัวรถจักรกำลังทำงานหนัก ด้วยการลากขบวนรถไฟที่บรรทุกผู้คนเต็มคันขึ้นเหนือ  ผ่านเส้นทางอันมืดมิดแม้ในขบวนรถไฟจะสว่างด้วยกำลังแสงจากหลอดนีออน แต่นอกข้างทางกลับมืดมิดด้วยเวลาแห่งรัตติกาล 

ต่างคนต่างที่มา แต่มีเป้าหมายเดียวกัน 

ในสังคมไทยและสังคมโลก ทุกอย่างมักถูกจัดประเภทหรือแบ่งกลุ่ม ด้วยเหตุผลหลายประการ และในการเดินทางครั้งนี้ของฉันก็เช่นกัน ต่างคนต่างที่มาแม้ร่วมเดินทางในห้วงเวลาสั้นๆ การแบ่งกลุ่มก้อนยังปรากฏให้เห็นแม้ไม่เป็นทางการ 

ทุกคนมีเป้าหมายเดียวกัน คือ มุ่งสู่ภาคเหนือของไทยในวันหยุดยาว  

ฉันถูกจัดกลุ่มด้วย ความเต็มใจจ่าย  ผ่านราคาหน้าตั๋วที่สามารถจับจองได้  ไม่ว่าจะเป็นตั๋วชั้นที่ดีที่สุด  เบาะนุ่มที่สุด  เป็นส่วนตัวที่สุด  มีบริการที่ดีที่สุด  จนกระทั่งตั๋วที่ต้องจับจองด้วยความรวดเร็ว ด้วยโชคชะตา และด้วยความอาทร  สำหรับฉันได้ตั๋วที่ไม่ต้องแย่งชิงที่นั่ง แต่ไม่สบายที่สุด 

เครื่องแบบ  เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่แบ่งกลุ่มคนได้  ทหารในชุดพรางสีเขียว  นั่งเหงาทอดสายตาไปนอกขบวนรถบนบันไดเชื่อมระหว่างตู้รถไฟ  แม้ทหารทั้งห้าคนนั้นจะไม่ได้มาพร้อมกัน หรืออาจไม่รู้จักกัน แต่คงเข้าใจได้ไม่ยากว่าเค้าคือคนกลุ่มเดียวกัน  เช่นเดียวกับพนักงานรถไฟที่ใส่เครื่องแบบและป้ายแขวนคอเหมือนกัน 

การเลี้ยงชีพ  คนกลุ่มหนึ่งหอบของพะรุงพะรังขึ้นมาบนรถไฟพร้อมส่งเสียงบอกรายการของในมือ  ใครสนใจพอใจในสินค้าก็กวักมือเรียกเพื่อเจรจาต่อรองแลกเปลี่ยนสินค้าด้วยเงินตราในกระเป๋า  ถึงแม้ว่าราคาสินค้าจะแพงกว่าปกติ แต่ในเมื่อลูกค้าไม่สามารถเดินลงไปจับจ่ายซื้อหาสินค้าได้ถึงร้าน ก็ต้องยอมรับราคากันไป 

ความสนใจ  กลุ่มชายหนุ่มหกคนที่นั่งด้านหน้าฉัน  ตั้งแต่ออกเดินทางจนถึงที่หมาย  เสียงของพวกเขาแววอยู่ในหูฉันตลอดเวลาแม้ขณะหลับ  เป็นเสียงเบาบ้าง ดังบ้าง หัวเราะบ้าง สลับกับเสียงกดชัตเตอร์  เรื่องที่พวกเค้าสนทนากันเป็นเรื่องเดียวกัน คือ การถ่ายภาพ  สองในหกคนมาด้วยกัน ในขณะที่อีกสี่คนเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่มาด้วยกัน  แต่เมื่อเวลาผ่านไปกว่ากึ่งหนึ่งของการเดินทาง ทั้งหกคนก็เข้าร่วมในวงสนทนาเดียวกัน  ด้วยเพราะมีจุดประสงค์ร่วม และมีความสนใจเหมือนกัน  

สุดท้าย ฉันแบ่งกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งด้วย พฤติกรรมการใช้พื้นที่ส่วนรวม 

เห็นแก่ตัวตนและพวกพ้อง ครอบครัวด้านหลังของตู้ที่ฉันนั่งอยู่  มีทั้งชายกลางคน หญิงกลางคน  หนุ่มสาววัยรุ่น  และเด็กกำลังซน ร่วมสิบคน พร้อมข้าวของเสบียงอาหาร  ราวกับมาทานอาหารนอกบ้านกันบนรถไฟ 

การทานอาหารบนรถไฟไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเวลาการเดินทางคาบเกี่ยวกับมื้อเย็น  แต่การดื่มเบียร์ และเล่นการพนัน  ซึ่งเป็นเรื่องที่ฉันเห็นว่าไม่สมควรยิ่ง  นอกจากเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้เด็กในครอบครัวเองแล้วยังสร้างความรำคาญใจให้กับผู้ร่วมเดินทาง 

เมื่ออาการมึนเมาจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ได้ที่แล้ว การร้องรำทำเพลงควบคู่กับการโห่ร้องกับผลการเขย่าลูกเต๋ายิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ แข่งกับเสียงเครื่องจักรของรถไฟ 

ฉันเห็นใจว่าที่ลูกช้างข้างฉันที่ต้องสอบในเช้าวันรุ่งขึ้น

ฉันเห็นใจเด็กชายที่นอนหนุนตักแม่ข้างหน้า

ฉันเห็นใจคู่สามีภรรยาวัยชราแถวข้างซ้ายที่ควรพักผ่อนครบชั่วโมงตามวัย

ฉันเห็นใจนักศึกษาสาวที่นั่งด้านหลังฉัน เธอคงอยากพักผ่อนเหมือนฉัน...

และที่สำคัญ ฉันเห็นใจเด็กกำลังซนที่มีต้นแบบพฤติกรรมแบบนี้

การเดินทางครั้งนี้ ฉันได้ใช้เวลาไปกับการเรียนรู้  กลุ่มคน  ผ่านพฤติกรรมที่ฉันมองเห็น  ฉันรู้ว่าฉันไม่ควรกะเกณฑ์ว่าใครควรอยู่กลุ่มใด และเหมารวมว่าแต่ละคนในกลุ่มจะเป็นเช่นนั้น เหมือนกันการแบ่งกลุ่มคนและวางแนวทางการพัฒนาลงไปแบบเหมารวม... 

ฉันมีความเชื่ออย่างหนึ่งว่า

ไม่ง่ายนักที่คนเราจะมาพบกัน  ดังนั้นควรรักษาความสัมพันธ์ระหว่างกันไว้ให้ดี แม้อาจเป็นครั้งเดียวที่ได้เจอกัน

---^.^---  
หมายเลขบันทึก: 160477เขียนเมื่อ 21 มกราคม 2008 15:44 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 22:25 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (10)

สวัสดีครับหนูพิมพ์

                คิดได้แบบนี้ก็ดีแล้วครับ...ที่แบกอยู่ก็คิดว่าคงหนักพอสมควรอยู่แล้ว อย่าหาอะไรรก ๆ มาใส่สมองอีก...ปล่อยเขาไปเถอะ

                                                   ขอบคุณครับ

                                            

เป็นวิถีชีวิตที่เจอะเจอ ตามระยะทางนะครับ ผมเองก็ชอบมอง ชอบสังเกตเรียนรู้ แต่ทั้งนี้ การอยู่ร่วมกันจำเป็นต้องแชร์ สุข ทุกข์เข้าด้วยกัน เห็นใจและเอาใจเขามาใส่ใจเราด้วยครับ

ผมคิดว่า สิ่งที่เห็น คือ เราได้สัมผัส และได้เรียนรู้ ดังนั้นแล้วเราได้เรื่อยๆตามประสบการณ์ที่ผ่านมาเรื่อยๆเช่นกัน

เติบโตมากขึ้นครับ

-------------------------------

จะคุยเรื่อง "ภาระกิจร่วม" ในโอกาสต่อไปนะครับ คิดว่าน้องพิมจะเข้ามามีส่วนในการทำด้วย

ผมกำลังร่าง Proposal เพื่อถอดบทเรียนชุมชนให้เป็นห้องเรียนให้กับสถาบันพระปกเกล้า รวมถึงคิดประเด็นงานท่องเที่ยวให้โครงการหลวง เพื่อนำร่องครับ

เอาไว้คุยกันครับ

เป็นวิถีชีวิตที่เจอะเจอ ตามระยะทางนะครับ ผมเองก็ชอบมอง ชอบสังเกตเรียนรู้ แต่ทั้งนี้ การอยู่ร่วมกันจำเป็นต้องแชร์ สุข ทุกข์เข้าด้วยกัน เห็นใจและเอาใจเขามาใส่ใจเราด้วยครับผมคิดว่า สิ่งที่เห็น คือ เราได้สัมผัส และได้เรียนรู้ ดังนั้นแล้วเราได้เรื่อยๆตามประสบการณ์ที่ผ่านมาเรื่อยๆเช่นกันเติบโตมากขึ้นครับ-------------------------------จะคุยเรื่อง "ภาระกิจร่วม" ในโอกาสต่อไปนะครับ คิดว่าน้องพิมจะเข้ามามีส่วนในการทำด้วยผมกำลังร่าง Proposal เพื่อถอดบทเรียนชุมชนให้เป็นห้องเรียนให้กับสถาบันพระปกเกล้า รวมถึงคิดประเด็นงานท่องเที่ยวให้โครงการหลวง เพื่อนำร่องครับเอาไว้คุยกันครับ

 

สวัสดีคะ นายช่างใหญ่

ขอบคุณที่แวะมาทักทายเป็นคนแรก

บางทีอะไรที่แบกไว้ก็หนักเปล่าๆ จริงๆ นะคะ

ปล่อยเค้าไป ปล่อยเค้าไป...

สวัสดีเจ้าอ้ายเอก

การเดินทางเป็นการเรียนรู้ที่มีรสชาติที่สุด

การพบเจอผู้คนเป็นการเรียนรู้ที่มีสีสันที่สุด

การอยู่ร่วมกันเป็นการเรียนรู้เพื่อการปรับตัว

ขอบคุณที่แวะมาให้กำลังใจคะ

เรื่องภาระกิจร่วม...ดีใจและภาวนาให้ถึงเวลาเร็วๆ เจ้า...การเรียนรู้จะได้เกิดขึ้นอีกครั้ง

---^.^---

  • น้องเราไม่ธรรมดา
  • ทุกวันนี้ในสังคม
  • ความเกรงใจหายไปหมด
  • ไม่ทราบว่าหายไปไหน
  • การเดินทางเหมือนการศึกษา
  • แม้เพียงน้อยนิด
  • ก็ไม่ทำให้เวลา
  • ที่ผ่านมาสูญเปล่าใช่ไหมครับ
  • ขอบคุณครับ

 สวัสดีค่ะ คุณพิมพ์

  • ชอบบทสรุป ที่ว่า.............

ไม่ง่ายนักที่คนเราจะมาพบกัน  ดังนั้นควรรักษาความสัมพันธ์ระหว่างกันไว้ให้ดี แม้อาจเป็นครั้งเดียวที่ได้เจอกัน

  • แต่ว่า...เราคงมีโอกาสพบกันได้ไม่ยาก เพราะว่าบ้านอยู่ไม่ไกลกัน ( ม.ทวีโชค บ่อหิน ค่ะ)

 

สวัสดีคะ พี่ อ.ขจิต

ที่ว่าไม่ธรรมดานิยังไงกันน่า...

การเดินทางคือการศึกษาที่ให้ความสนุกมากที่สุด

ขอบคุณที่ให้กำลังใจนะคะ

สวัสดีคะ อ.little cat

บ้านเราใกล้กันจริงๆ ด้วยคะอาจารย์ เพียงแต่ว่าตอนนี้พิมพ์มาเริงร่าอยู่บางกอกเท่านั้นเอง สักวันหนึ่งเราคงได้เจอกันนะคะ...

ขอบคุณที่แวะมานะคะ

---^.^---

  • สวัสดี.พิมพ์ดีด (เหมือนพูดกับตัวเอง)บอกข้าเถิดใครงามเลิศในปฐพี ผิดเรื่องหรือเปล่านี้ แต่ไม่ลบแล้ว!  ผมผ่านมาแวะหยุดดู เห็นข้อความสีเขียวหยุดอ่าน?ต้องทักทายเจ้าของบ้านหลังนี้สักหน่อยแล้ว...อ่านบันทึกที่เขียนมาต่อจนจบหนึ่งเที่ยว ผมอยู่บนรถขบวนเดียวกับคุณด้วยคุณไม่เห็นผม เสียใจจริงๆ คนเราหากหยุดนิ่งก็เห็นความเคลื่อนไหวของโลกรอบกาย คุณโชคดีที่มีโอกาศได้ชมละครในชีวิตจริงแต่ผมโชคดีที่ได้เห็นคุณแสดง. ละครชีวิตที่เราต่างเป็นผู้ชมและแสดงนี้ใช้เวลาเดินเรื่องไม่เกินร้อยปีแน่ ปีที่๙๙เราคงได้เจอกัน"แม้อาจเป็นครั้งเดียวที่เจอได้"  สวัสดีเจ้าพิมพ์ดีด(เหมือนคุยกับตัวเองยังไงก็ไม่รู้) หาทางเดินที่ชอบที่ชอบ ให้เจอ ทำมันให้ดีที่สุด...แล้วจะตั้งใจมาเยี่ยมในอนาคต

สวัสดีครับหลานพิมพ์ดีด

ติดตามเห็นการเปลี่ยนแปลงของบันทึก จากบันทึกแรกๆจนมาถึงบันทึกนี้

หนูพิมพ์มีมุมมอง แนวคิด และวิธีการเล่าที่หลากหลายดีมากนักครับ

สวัสดีคะ คุณเดโชชัย

ขอบคุณมากนะคะที่หยุดอ่าน และทักทายกัน

ต่างคนต่างเป็นอีกตัวละครของอีกคนหนึ่งเสมอ ต่างเพียงแต่จะเป็นตัวละครที่น่าประทับใจไม่มีวันลืมแม้เจอเพียงครั้งเดียว

หรือเป็นเพียงตัวละครที่ผ่านมาและผ่านไปไม่มีสาระใดให้จดจำแม้พบกันมากกว่าครั้งเดียว

ละครชีวิตของเรายังอีกยาวไกล ยังเหลือเวลาชื่นชมบทบาทของกันและกันอีกกว่าครึ่งทาง...ซึ่งระหว่างทางนั้น "เราจะได้เจอกัน" อีกครั้ง

เจอกันอีกครั้ง เพราะในบ้านหลังนี้เราได้เจอกันแล้ว...นะคะ

บทบาทสำคัญในชีวิตตอนนี้เป็นไปตามที่คุณเดโชชัยเข้าใจ คือ ค้นหาสิ่งที่ตัวเองชอบอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย บางสิ่งที่คิดว่าชอบ บางครั้งกลับสับสนเมื่อสัมผัสและพบสิ่งใหม่...หรือจะเป็นเพราะยังไม่เจอ "สิ่งที่ใช่" หวังว่าสักวันหนึ่งจะค้นพบมัน

ขอบคุณมากคะ

สวัสดีคะ คุณอา paleeyon (ขอเรียกคุณอานะคะ...)

ขอบคุณที่ติดตามบันทึก และมองเห็นความเปลี่ยนแปลง

มุมมอง แนวคิด ที่หลากหลายบางทีอาจเกิดจากความสับสนและยังค้นหาความ "ชอบ" ของตัวเองยังไม่เจอก็ได้นะคะ...ซึ่งไม่ค่อยดีเท่าไร

น่าอิจฉาคุณอาที่ค้นพบในสิ่งที่ชอบและใช่ที่สุดสำหรับตัวเอง

ขอบคุณที่มาให้กำลังใจหลานนะคะ

---^.^---

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท