หลักการที่นำมาใช้อธิบาย คือ ปฏิจจสมุปปาท ดังได้ยินมาว่า
อวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขาร สังขารเป็นปัจจัยแก่วิญญาณ วิญญาณเป็นปัจจัยแก่นามรูป นามรูปเป็นปัจจัยแก่สฬายตนะ สฬายตนเป็นปัจจยแก่ผัสสะ ผัสสเป็นปัจจัยแก่เวทนา เวทนาเป็นปัจจัยแก่ตัณหา ตัณหาเป็นปัจจัยแก่อุปาทาน อุปาทานเป็นปัจจัยแก่ภวะ ภวเป็นปัจจัยแก่ชาติ ชาติเป็นปัจจัยแก่{ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาสะ}
อันนี้เป็นปัจจยาการฝ่ายเกิด โดยส่วนที่จะนำมาใช้อธิบายเรื่องโลกเรื่องสัตว์ ผมจะใช้มากๆแค่ลูกโซ่สองทอดดังที่ได้ทำไว้เป็นสีแดงนะครับ ปราชญ์ทั้งหลายกล่าวว่า ปฏิจจสุมปปาทเป็นของลึก ทั้งมีความปรากฏว่าลึก (ด้วยเหตุว่า ปฏิจจสมุปปาท คือสิ่งที่สามารถอธิบายธรรมได้ครอบทั้งธรรมธาตุโดยไม่มีส่วนเหลือ เป็นวิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ดังนี้) และอีกส่วนหนึ่งที่ใช้บ้างก็คือ ปัจจยาการในฝ่ายดับ ดังความว่า
เมื่ออวิชชาดับสังขารก็ดับ เมื่อสังขารดับวิญญาณก็ดับ เมื่อวิญญาณดับนามรูปก็ดับ เมื่อนามรูปดับอายตนะก็ดับ เมื่ออายตนะดับผัสสะก็ดับ เมื่อผัสสะดับเวทนาก็ดับ เมื่อเวทนาดับตัณหาก็ดับ เมื่อตัณหาดับอุปาทานก็ดับ เมื่อุปาทานดับภพก็ดับ เมื่อภพดับชาติก็ดับ เมื่อชาติดับ{ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาสะ}ก็ดับ
สามารถเข้าอ่านความละเอียดลึกซึ้งแห่งปัจจยาการได้จาก มหานิทานสูตร
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=10&A=1455&w=มหานิทานสูตร
ไม่มีความเห็น