ก่อนที่จะมาศึกษาวิชาของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าสนใจในทางวิทยาศาสตร์ไม่น้อย เพราะเชื่อมั่นว่า ทางวิทยาศาสตร์นั้น เป็นเรื่องของเหตุผลและอธิบายได้ ดังนั้นการกล่าวถึงเรื่อง ภพชาติ เรื่องเทวดา เรื่องพรหม เป็นเรื่องที่ไม่อาจจะเชื่อได้
เมื่อตอนเล็กๆข้าพเจ้าเคยไปวัดกับคุณยาย ท่านเป็นผู้ชอบทำบุญมาก ยายบอกว่า ทำบุญมากๆ จะได้ไปเกิดเป็นเทวดา ท่าทางคุณยายของข้าพเจ้าจะเชื่อเรื่องเทวดามาก แถมเชื่อเรื่องเปรตเข้าไปด้วย ส่วนข้าพเจ้านั้นคิดว่า เทวดาน่าจะเป็นเรื่อง ในวรรณคดี หรือหนังสือนิทานมากกว่าแถมเทวดาทั้งหลายที่ข้าพเจ้าอ่านเจอก็ไม่เห็นจะต่างจากมนุษย์ตรงไหนเพราะมักมีเรื่องทะเลาะกันอยู่เรื่อยๆ แต่ละเรื่องที่ทะเลาะกันก็ดูไร้สาระ วันๆก็ไม่เห็นจะทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เอาแต่เสวยสุขสนุกสนาน งานการก็ไม่ต้องทำ อยากได้อะไรก็เสกเอา ไม่เห็นจะมีอะไรน่าชื่นชม เทวดามีจริงหรือไม่ก็ไม่รู้ แต่ตอนนั้นข้าพเจ้าไม่คิดจะเกิดเป็นเทวดาแน่ๆ
จนปัจจุบันนี้ข้าพเจ้าก็ไม่คิดอยากจะไปเกิดเป็นเทวดา แม้จะมีความคิดเห็นใหม่ว่าเทวดาน่าจะมีจริง แต่คิดอยากจะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดนี่มากกว่า
ที่จำได้อีกอย่างคือคุณยายชอบให้อ่านเรื่องพระเวสสันดรชาดกให้ฟัง ข้าพเจ้าอ่านทีไรก็มีข้อสงสัยในใจว่า ทำไมพระเวสสันดร จึงต้องถวายทานเสียทุกอย่าง ดูไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย มันเป็นความขัดแย้งในใจว่า การถวายทานเสียมากมายเช่นนี้เพื่ออะไรกัน ข้าพเจ้าไม่เข้าใจจริงๆ พอปัจจุบันมาเรียนวิชาของพระพุทธเจ้า ถึงได้รู้ว่า พระเวสสันดรนั้นคือชาติภพสุดท้ายของพระพุทธเจ้า และในชาติภพนี้ ก่อนที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้า พระองค์ต้องทิ้งพระชายา และพระกุมารน้อยราหุลไปออกบวช ท่านว่านั่นคือเหตุผล ของการทำทานเมื่อครั้งเป็นพระเวสสันดร เรียกว่าฝึกไว้ก่อนหนึ่งชาติ เตรียมใจที่จะต้องจากสิ่งที่รักที่สุดในชีวิต ในภพภูมินี้
อนึ่งเรื่องพระเจ้าสิบชาตินั้น แต่ก่อนข้าพเจ้าก็ดันคิดไปว่าเป็นเรื่องเล่าในวรรณคดี ไม่ได้คิดว่าจะเป็นเรื่องจริงจัง ดังนั้นคำว่า ชาติภพ หรือ เรื่อง 31 ภพภูมิ เป็นเรื่องที่คนหัววิทยาศาสตร์เช่นข้าพเจ้ายากที่จะเชื่อ หรือยอมรับได้ แต่ปัจจุบันนี้ข้าพเจ้ามีความเห็นที่เปลี่ยนไปแล้ว และมองว่า เรื่องนี้มีความเป็นไปได้
การพูดคุยกันถึงเรื่องภพภูมินั้น เป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังมาก เพราะในยุคดิจิทอลแล้ว การพูดเรื่องนี้ออกไปสุ่มสี่สุ่มห้า เราจะกลายเป็นคนที่ดูเพี้ยนๆ ไปทันที
ก่อนจะมาศึกษาวิชาของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าเป็นคนผู้สนใจเรื่องการกำเนิดของโลกและจักรวาลมาก เรื่องการเกิด การดับของดวงดาว ทฤษฎีบิ๊กแบงที่ว่าด้วยการระเบิดครั้งใหญ่ จากนั้นก็เกิด กาแลกซี่ต่างๆ มากมายจนนับไม่ไหว โลกเราเป็นส่วนหนึ่งของสุริยะจักรวาลและอยู่ในกาแลกซี่ทางช้างเผือก ที่น่าทึ่งก็คือ ตามที่นักวิทยาศาตร์นักดาราศาสตร์ศึกษามาพระอาทิตย์แบบของเรานั้น ในกาแลกซี่ทางช้างเผือกมีอีกนับไม่ถ้วน แถมพ้นขอบกาแลกซี่นี้ออกไป ก็มีอีกหลายล้านๆๆๆ กาแลกซี่ และนักวิทยาศาตร์ยังกล่าวอีกว่า กาแลกซี่ทั้งหลายนั้นกำลังวิ่งห่างออกจากกันไปเรื่อยๆ นั่นคือจักรวาลกำลังขยายออกไปเรื่อยๆ นอกจากการหมุนวนภายในของแต่ละกาแลกซี่แล้ว มันยังวิ่งออกจากกันด้วย ดังนั้นขอบเขตของจักรวาลมันยังไม่มีที่สิ้นสุด เพราะมันกำลังขยายออกไปเรื่อยๆ ในอนาคตอันไกลๆ ซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อไหร่นั้น นักวิทยาศาสตร์บอกว่า หลังจากมันขยายไปเรื่อยๆ จนถึงที่สุด มันจะยุบตัวเข้ามาหากันยังจุดเดิม จุดเริ่มต้นที่มีการระเบิดนั่นแหละ แต่พอมีคำถามว่า ก่อนที่มันจะเริ่มมีบิ๊กแบงนั้นมีอะไร นักวิทยาศาสตร์บอกว่า ไม่มีอะไร พอมีบิ๊กแบงจึงเกิดดวงดาวต่างๆขึ้นมา ? โดยสรุป จักรวาลเกิดจากความไม่มีอะไร ทั้งหมดคือความว่างเปล่าอะไรทำนองนั้น?
ที่น่าสนใจก็คือ ในอนาคตอันไกลโพ้น ดวงอาทิตย์ของเรานี้จะมีการแตกดับ และก่อนที่ดวงอาทิตย์จะดับ มันจะมีการเปลี่ยนแปลงภายในคือมันจะพองตัวขึ้นมีขนาดใหญ่มาก ใหญ่มาจนกินเนื้อที่วงโคจรของโลก เลยไปถึงดาวอังคารโน่น แล้วโลกเราก็จะถูกลวกด้วยความร้อนของดวงอาทิตย์ดวงนี้ กลายเป็นโลกที่สุกแล้วแต่คงไม่น่ากินน่าอยู่สักเท่าไหร่ แต่ท่านว่าอีกนานมากกว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้น
นักวิทยาศาสตร์บอกเราอีกว่า ดวงดาวที่เราเห็นมากมายบนท้องฟ้านั้น บางดวงได้ดับไปแล้ว แต่ที่เรายังเห็นแสงของมันอยู่เพราะว่า กว่าที่แสงของดาวนั้นจะมาถึงโลกเรามันนานมาก กลายเป็นว่าภาพที่เราเห็นในท้องฟ้า บางส่วนเป็นภาพของอดีต หรืออาจจะเป็นเกือบทั้งหมดก็ไม่รู้ เรากำลังมองอดีตอยู่
ข้าพเจ้าว่า เรื่องการกำเนิดของโลกและจักรวาลนี่สนุกดีทีเดียว ต่อมาก็ทึ่งกับเรื่องราวของนักวิทยาศาสตร์ที่บอกกล่าวเรื่องราวของฝาแฝดพิศวง
ในทฤษฎีของนักวิทยาศาสตร์ยุคใหม่กล่าวว่า ถ้ามนุษย์สามารถเคลื่อนที่ไปด้วยความเร็วแสงหรือใกล้เคียงกับความเร็วแสง เวลาของเขาผู้นั้นจะช้าลง นั่นคือถ้าเอามนุษย์ขึ้นยานอวกาศที่วิ่งเร็วเท่าความเร็วแสงหรือใกล้เคียงกับความเร็วแสงขึ้นสู่อวกาศ เมื่อเขากลับมาบนโลกเขาจะยังไม่แก่แม้เวลาจะผ่านไปหลายสิบปีเพราะเวลาขณะที่เขาอยู่ในยานอวกาศนั้นมันช้าลง ไม่นับเรื่องการโค้งงอของเวลาในอวกาศอีก รวมไปทั้งเรื่องราวของหลุมดำในอวกาศ และอะไรอีกสารพัด เรื่องเหล่านี้มันน่าทึ่งมาก นักวิทยาศาสตร์เก่งจริงๆ ที่สามารถรู้เรื่องเหล่านี้ได้ แถมข้าพเจ้าก็เชื่อในสิ่งที่เขาว่ามาเสียอีก แต่การรู้เรื่องราวเหล่านี้ ก็ไม่ได้ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกดีขึ้นกับการดำรงชีวิตสักเท่าไหร่ ถ้าในภาษาทางธรรมแบบหลวงปู่ดูลย์ ว่า ก็คงเป็นเรื่องของ การส่งจิตออกนอก แถมส่งไปไกลมาก เกือบจะไปถึงสุดขอบของจักรวาลแล้ว
สำหรับพระพุทธองค์แล้ว พระองค์สอนให้เรามองเข้าไปในตัวตนของเรา ศึกษาเรื่องราวภายในตัวเรา ไม่ใช่เรื่องข้างนอกนั่น ท่านว่าการส่งจิตออกนอกนั้นเป็นเหตุแห่งทุกข์
เรื่องที่ควรจะรู้ น่าจะเป็นเรื่องภายในตัวเรา มากกว่าจะพยายามไปรู้เรื่องของคนอื่นๆ ขนาดตัวเรายังไม่รู้เรื่องของตัวเราเอง การไปสนใจรู้เรื่องของคนอื่นอาจจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใดกับชีวิตเรา และจะเป็นเหตุแห่งทุกข์ได้ดังที่ท่านว่า
วิชาของพระพุทธเจ้านั้นล้ำลึกจริงๆ แต่เรื่องการกำเนิดของโลกและจักรวาลนั้น ก็มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกเช่นกัน รวมทั้งเรื่อง 31 ภพภูมินั่นด้วย แบบนี้จะไม่ให้ข้าพเจ้าเปลี่ยนความคิดได้อย่างไรว่า พรหม เทวดา เปรต น่าจะมีจริง เพราะเมื่อยังมีเรื่องการกำเนิดของจักรวาลในพระไตรปิฎกได้ แล้วเรื่องของเทวดา เรื่องของเปรต ที่มีอยู่ด้วยล่ะ จะปฎิเสธว่าไม่มีจริงได้อย่างไร
การเทียบเคียงเรื่องวิทยาศาสตร์กับศาสนาพุทธนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าหนังสือที่ชื่อ ไอน์สไตน์พบพระพุทธเจ้าเห็น นั้นเป็นเล่มที่ดีมาก ช่วยให้ข้าพเจ้าเชื่อมโยงและทำความเข้าใจในเรื่องของวิทยาศาสตร์กับศาสนาได้ อาจเป็นเพราะท่านผู้เขียนปฎิบัติธรรมด้วย จึงสามารถเชื่อมโยงเทียบเคียงเรื่องดังกล่าวได้ดี เพราะการรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่งเพียงด้านเดียวโดยไม่รู้เรื่องของอีกด้าน จะไม่อาจเทียบเคียงเนื้อหาเข้าสู่กันได้ หัวใจของการเทียบเคียงและรู้เรื่องนี้ก็คือ ต้องเข้าสู่วิถีของการปฏิบัติ
วิชาของพระพุทธเจ้าจะเข้าถึงได้ ต้องมีภาคปฎิบัติ ไม่สามารถเรียนเฉพาะภาคทฤษฎีได้
" หมอผ่าตัดถ้าอ่านแต่ตำราวิธีการผ่าตัดเพียงอย่างเดียว แม้จะท่องจำได้หมด แต่ไม่เคยผ่าตัดเลย ก็ไม่สามารถเป็นหมอผ่าตัดได้ เช่นกัน "
สวัสดีค่ะคุณ sunny
ดิฉันเองก็มีประสบการณ์คล้ายกับคุณ sunny ตอนนี้ก็เห็นคล้ายๆ กันอีกนั่นแหละค่ะ ^ ^
คำสอนของพระพุทธองค์เป็นเรื่องไกล้ตัวที่สุดแล้ว หากมัวแต่ไปส่งจิตออกนอกอยู่กับเรื่องอื่นๆ ที่รู้แล้วก็ไม่ได้ช่วยพัฒนาจิตใจเราหรือโลกของเราให้ดีขึ้น ก็คงจะต้องเกิดกันอีกหลายๆ รอบค่ะ
การเรียนรู้วิทยาศาสตร์เป็นสิ่งที่จำเป็น แต่ผลของการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์มักไม่ค่อยช่วยให้โลกพัฒนาขึ้นอย่างที่ควรจะเป็น แต่มักเป็นการทำลายเสียมากกว่า เพราะการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ไม่ได้พัฒนาจิตใจผู้เรียนรู้เสียทีเดียว แต่การเรียนรู้และปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอน(ไม่ว่าในศาสนาใดๆ ที่สอนให้คนเป็นคนดี) เป็นการพัฒนาจิตใจคนให้ดีขึ้น เมื่อพัฒนาจิตใจคนได้ ความสงบ และสันติสุขก็จะตามมา..
ยิ่งเขียนยิ่งยาวค่ะ ^ ^
ขอบคุณที่นำเรื่องดีๆ มาเล่าสู่กันฟังนะคะ
ขอบคุณมากค่ะที่เข้ามาพูดคุยกัน แถมมีความเห็นที่คล้ายๆกันด้วย