ในค่ายเบาหวานของร.พ.กระบี่
เมื่อทีมงานถามคนไข้ว่า อยากให้ใครพูดเรื่องยาให้ฟังจากทีมงานที่มีทั้งแพทย์ พยาบาล เภสัชกร ทันตแพทย์ และวิชาชีพอื่นๆ คำตอบที่ได้คือ เภสัชกร จึงรู้สึกแปลกใจที่ทำไมคนไข้ที่ไม่อยากรู้จากแพทย์ ทั้งๆที่แพทย์คือผู้สั่งยาให้กิน
ฤาแพทย์จะด้อยมนุษยสัมพันธ์เสียจนคนไข้ไม่อยากคุยด้วย!
เมื่อมีวงสุนทรียสนทนาที่ร.พ.กระบี่ เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2550 เภสัชกรเล่าให้ฟังว่า " มาเข้าร่วมเพราะถูกเจาะจงตัวให้เป็นผู้ฝึกครู ก. ก่อนมาเข้าร่วมเป็นทีมทำกิจกรรมไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรกัน เข้าใจว่าที่ให้เข้ามาทำหน้าที่จะมีแต่เรื่องยา เมื่อได้ทำกลุ่มกับคนไข้ ทัศนคติได้เปลี่ยนไป"
"เดิมเวลาที่จ่ายยาคนไข้และสอนคนไข้ จะบอกคนไข้เยอะมาก เพราะถ้าไม่ได้บอก ไม่สบายใจ จะรีบบอกทุกเรื่องที่อยากบอก ไม่ใคร่ใส่ใจว่าคนไข้จะรับรู้ได้หมดหรือไม่"
"เดี๋ยวนี้มองเห็นสิ่งที่มีค่ากว่า บอกในสิ่งที่ควรเน้นในแต่ละคน บอกทีละประเด็นในแต่ละครั้ง ที่เหลือที่อยากบอกก็เอาไว้ไปบอกในครั้งอื่นๆ และก็รู้ว่าคนไข้รับรู้ได้หมด การได้เข้าร่วมทีมทำให้ได้ประสบการณ์ใหม่ๆ ได้ความรู้ใหม่ๆที่นำมาใช้ได้จริง"
"การได้เข้าร่วมกิจกรรม KM กับทีม ร.พ.พุทธชินราช ทำให้มีลูกเล่นที่จะคุยกับคนไข้ได้มากขึ้น รู้สึกสนุกที่จะทำแม้ตอนนี้ยังไม่ถนัดที่จะทำ การทำ KM กับคนไข้ ทำให้ได้โจทย์ใหม่ที่นำกลับมาทบทวนหาคำตอบ ความรู้ที่ได้แถมมาจากการทำงานร่วมกับคนอื่นๆ คือ ความเข้าใจเกี่ยวกับการควบคุมอาหาร ที่เกี่ยวข้องไปถึงการใช้ยา เข้าใจสิ่งที่คนไข้ต้องปฏิบัติตัวมากขึ้น ได้รู้จักการดูแลเท้าของคนไข้เบาหวาน ความรู้เหล่านี้ทำให้ไปใช้คุยกับคนไข้ได้มากขึ้น ใช้กับเรื่องยาได้มากขึ้น"
"สิ่งที่อยากตามต่อ คือ ตามวัดผลว่า กลุ่มที่ได้ลงมือทำกิจกรรมด้วยมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง"
"การได้ทำงานกับเจ้าหน้าที่สอ. ให้ได้รู้ว่า ร.พ.ยังต้องเป็นพี่เลี้ยง และช่วยฝึกเจ้าหน้าที่สอ.มากกว่านี้ "
ไม่มีความเห็น