เห็นด้วยขอรับกับการที่ต้องตระหนักและรับผิดชอบต่อสิ่งที่เราเขียนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
.. อย่างที่หลายคนยืนยัน ระดับความรับผิดชอบ ความสำนึกของแต่ละคนต่างกัน มุมมองต่างกัน อารมณ์ความรู้สึกขณะเขียนก็ย่อม แตกต่างกันไป
... บทความที่เขียนออกไป เมื่อผ่านคืนวัน และได้ย้อนกลับไปดู ก็จะพบเรื่องราวของวันวาน ให้อาจจดจำได้ว่า ณ เวลานั้นเราคิดอะไร มีอารมณ์แบบไหน
... ในแนวคิดของ ฌอง-ปอล ซาร์ตร์ (ซึ่งไม่เคยรู้จัก~ต้องขออภัย) ตามที่ได้กล่าวไว้ในเนื้อหาของบทความนี้ เป็นการสะท้อนมุมมองต่อวิถีทางของมนุษย์ในด้านหนึ่งโดยเฉพาะ มนุษย์อาจไม่ได้ตระหนักรู้ในทุกเรื่อง และไม่ได้พยายามค้นหาพัฒนาตัวตนกันทุกคน
กรอบ ระเบียบ สังคม ที่มนุษย์ต่างพยายามสร้างขึ้นเพื่อกำหนดวิถีทางของมนุษย์โดยรวม มีผลกระทบต่อพฤติกรรมของมนุษย์บางส่วนในขณะนั้น ๆ อย่างมาก การให้คน ๆ นั้นรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง เป็นเพียงการผลักภาระโดยตรงให้กับคนเพียงคนเดียว แต่ในความเป็นจริงสังคมย่อมประกอบด้วยหลายส่วนเชื่อมโยงกัน เราจึงต้องร่วมรับผิดชอบต่อการกระทำของผู้อื่นด้วย โดยเฉพาะหากเราเป็นผู้กำหนดบทบาท หรือตรากฎของสังคมขึ้นมา
... เสรีภาพอาจเป็นสิ่งมนุษย์ต้องการ โดยเฉพาะเมื่อถูกกังขังหน่วงเหนี่ยว ถูกใช้แรงงานในระบบทาส ถูกบงการและอยู่ภายได้เงื่อนไขที่ผู้อื่นเป็นเจ้าชีวิต ซึ่งการอ้างถึงเสรีภาพและความเสมอภาคอย่างไม่ถูกปิดกั้น พึ่งได้เกิดขึ้นมาเมื่อไม่กี่สิบปีนี่เอง
... เนื้อแท้ของเสรีภาพเป็นอย่างไร เรากล่าวถึงเสรีภาพกันในรูปแบบไหน เช่น เราให้เสรีภาพแก่มนุษย์โดยเท่าเทียม มีกฎหมายลงโทษการทำร้าย ฆ่าคน และค้ามนุษย์ แต่เรากักขังสัตว์ต่าง ๆ รวมถึงเพาะพันธุ์ เลี้ยงและอาจฆ่าด้วยเหตุผลแห่งความจำเป็นมากมาย นั่นคงเพราะมนุษย์แตกต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่น และมีอำนาจทางความคิดที่เหนือกว่าทุกสิ่งบนโลกนี้ (หละมั้ง)
... เอวังขอจบไว้ด้วยประการฉะนี้ก่อน ..