กลางเดือนธันวาคม ที่ผ่านมา มีคนไข้เก่ารายหนึ่งแวะมาหา หลังจากที่หายหน้าหายตาไปนานถึง 2 ปี เหลือบมองประวัติเก่าที่อยู่ในมือ ก้พบบันทึกการวินิจฉัยว่า CA Larynx แต่เมื่อเหลือบตามองที่คนไข้ ณ วันนี้ ก็น่าเอะใจ เอ๊ะ ไม่เห็นมีร่องรอยของก้อนใดๆที่คอให้เห็นเลย หน้าตาก็ผ่องใส ไม่มีริ้วรอยของการผ่านรังสีบำบัดหรือร่องรอยที่บอกว่า เป็นโรคร้ายเลย อดใจไม่ได้เลยถามไถ่ คนไข้เล่าว่า 2 ปีที่แล้ว ตะลอนหาหมอไม่ต่ำกว่า 3 คน ด้วยมีก้อนผุดขึ้นในช่องปาก ไปหาหมอที่ร.พ.ใกล้บ้าน หมอก็แนะนำไป ร.พ.ใหญ่กว่า หมอที่ร.พ.ใหญ่กว่า ก็ส่งต่อไป ร.พ. มหาวิทยาลัย ไปที่ร.พ. มหาวิทยาลัย หมอก็จะผ่าตัดลูกเดียว บอกว่าเป็นเนื้อร้าย ตัดชิ้นเนื้อไปตรวจก็ไม่ได้ตัด ความกลัวทำให้คนไข้ไม่ยินยอมผ่าตัดขอกลับมารักษาที่จังหวัด กลับมาแล้ว หมอที่จว.ตัดชิ้นเนื้อไปตรวจให้ ไม่พบเนื้อมะเร็ง ก็เลยได้รักษาจนกระทั่งแผลหาย เนื้อยุบ และสบายดีมาจนบัดนี้ เรื่องนี้ทำให้นึกถึงคำไทย ที่เรียกว่า มัดมือชก นี่หากคนไข้ยอมให้มัดมือชก ผ่าตัดตามที่ได้รับคำแนะนำในครั้งต้นๆ ป่านนี้ไม่รู้ว่าหน้าตาคนไข้จะเป็นยังไง เฮ้อ! คิดแล้วเสียววาบแทนคนไข้เลยนะนี่
เรื่องนี้เตือนใจว่า เวลาดูแลคนไข้ ต้องให้ข้อมูลที่รอบคอบ ครบถ้วนเพียงพอที่คนไข้จะร่วมตัดสินใจได้ ถ้าจะทำอะไรที่เป็น invasive หรือ aggressive treatment คนรักษาต้องแบข้อมูลให้คนไข้ร่วมรับรู้ว่าข้อมูลที่มีนั้น สามารถใช้ตัดสินใจ และ คนไข้มีสิทธิ์ตัดสินใจการรักษาตัวเขาเอง คนรักษาไม่ควรมัดมือชก
เรื่องนี้บันทึกไว้เตือนตัวเองว่า "ความเสี่ยงทางคลินิก เกิดขึ้นตลอดเวลา หากว่า เราไม่รอบคอบ"
รายนี้อาจจะมีละครฉากใหญ่ให้ดู ถ้าคนไข้ยอมให้ผ่าตัด แล้วมารู้ทีหลังว่า ตัวเองไม่ได้เป็นมะเร็ง แล้วฟ้องหมอ ฐานทำให้เสียอวัยวะ และเสียความรู้สึก
สวัสดีค่ะ น้องหมอที่น่ารักของครูอ้อย
เรียนเชิญที่ ... เราชาวโกทูโน..มาทำอะไร..สนุกๆในวันตรุษจีนกันนะ